BenQ SW271

หลังจากได้ทดสอบโปรเจคเตอร์BenQที่ใช้กับงานhome theaterเรียบร้อยแล้ว ทาง BenQ Thailand ก็ได้แนะนำให้ผมว่าลองทดสอบจอคอมพิวเตอร์เพื่อแต่งภาพของBenQรุ่นBenQ SW271ดูไหม ซึ่งจอรุ่นนี้ผมก็พอได้ยินชื่อเสียงมาอยู่บ้างว่าเป็นจอแต่งภาพสำหรับ photographer หรือvideographerมืออาชีพ ความจริงสำหรับผมก็พอถ่ายภาพอยู่บ้างแต่ก็มือสมัครเล่น ถ่ายสนุกไปเรื่อยๆไม่ได้จริงจังอะไร ก็เลยทำให้รู้สึกว่าเอามาลองหน่อยเป็นความรู้ก็ดี จะได้รู้ว่าจอสำหรับช่างภาพมืออาชีพนี่เขาไปถึงไหนกันแล้ว แต่ก็คิดอยู่ว่าโดยส่วนตัวคงไม่ได้ใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่ามากนักเพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกับงานhome theaterที่สนใจโดยตรง…..หลังจากได้ทดลองใช้ทำให้โลกทัศน์สำหรับจอคอมพิวเตอร์ของผมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จอBenQ SW271ตัวนี้มีสิ่งที่น่าสนใจอยู่มากมายหลายอย่างกว่าจอmonitorที่ผมเคยใช้มาโดยตลอด ลองติดตามดูครับว่าจอนี้มีจุดเด่นอะไรบ้าง ได้รับจอมาแค่ดูขนาดของกล่องก็รู้ว่าจอตัวนี้ไม่ได้ธรรมดาเหมือนจอคอมขนาด 27นิ้วที่ผมเคยซื้อมาจากร้านแถวตึกคอม กล่องที่ใส่มามีขนาดใหญ่โต ไม่ได้เป็นกล่องเล็กๆบางๆเหมือนจอคอมทั่วไป เปิดกล่องมาดูมืออาชีพเลย มีใบFactory Calibration Reportมาให้งงเล่นด้วย จะเอามาต่อคอมเล่นFBหน่อยเช้านี้ เห็นแล้วรีบปิดกลับไปเปิดดูคู่มือก่อนเลย…สรุปเอาไว้ตอนเย็นค่อยมาต่อละกัน อุปกรณ์มาอย่างเยอะ! ประกอบเสร็จแล้ว(บางส่วน) ขอเอามาถ่ายรูปก่อน ด้านหลัง เท่าที่ดูพลาสติกที่ใช้ทำโครงสร้างมีความหนาแน่น แข็งแรง ท่าทางจะทนไม่แตกง่ายเหมือนจอคอมทั่วไป(หนักด้วย) สามารถขยับปรับหมุน ดันจอขึ้นลงได้ง่าย แต่มีความมั่นคงดี หมุนจอให้ตั้งขึ้นเพื่อใช้ในงานพวกPortraitก็ได้ เสริมหล่อด้วย Hoodเพื่อกันแสงเข้าด้านข้างเพิ่มcontrastให้กับภาพ และสีมีความเที่ยงตรงมากขึ้น ช่องต่อมีมาให้สำหรับช่างแต่งภาพมืออาชีพแบบครบครัน ทั้งHDMI 2.0จำนวน2ช่อง, USB-C™, Display Port V1.4 เอามาตั้งที่ห้องทำงานเรียบร้อย ได้เวลาเปิดFacebook กับตอบไลน์แล้ว555 แต่พอเสียบสายเข้าไปเปิดดูภาพ สิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนก็คือความสว่างความเข้มของสีเขียว […]

BenQ X12000H

DLP 4K HDR LED Projector ที่ไม่ต้องใช้Color Wheel หลังจากปีที่แล้วผมได้ทดสอบโปรเจคเตอร์4K HDRของBenQไปในรุ่นW11000H ตอนนี้BenQได้เปิดตัวDLPโปรเจคเตอร์แบบ4K HDR Wide color Gamutรุ่นเรือธงตัวใหม่ล่าสุดออกมาในราคาเปิดตัว 199,900บาท ซึ่งทางBenQได้ส่งให้ผมได้ทดสอบจริงก่อนที่จะวางจำหน่ายในประเทศไทย และหลังจากได้ทดลองใช้และทดสอบอย่างละเอียดเป็นเวลาหลายอาทิตย์ พบว่าโปรเจคเตอร์ตัวใหม่นี้มีจุดเด่นและจุดน่าสนใจหลายประการ วันนี้จึงจะเอามาเล่าให้ฟังกันว่ามีอะไรบ้าง พูดถึงรูปร่างหน้าตาภายนอกนั้นเหมือนกับรุ่นW11000Hที่ทดสอบไปเป๊ะ ถ้าไม่นับสีทองตรงขอบรอบเลนส์กับlogoที่ติดอยู่บนตัวเครื่องเท่านั้นที่ต่างกัน แต่ทางBenQได้กระซิบบอกมาว่าถึงแม้ข้างนอกจะดูเหมือนกันแต่ข้างในเรียกได้ว่าเปลี่ยนยกเครื่องหลายอย่าง เท่าที่ยกเครื่องขึ้นมาดูก็น่าจะจริง เพราะน้ำหนักตัวใหม่นี้หนักถึง18.5กิโลกรัม หนักกว่าตัวW11000Hถึงสี่กิโลกรัม สำหรับตำแหน่งช่องต่อ ตำแหน่งปุ่มปรับ การZoom การFocusทุกอย่างเหมือนกับรุ่นเดิม แต่สิ่งที่ต่างไปก็คือในรุ่นก่อนหน้านี้ก็คือการใช้เทคโนโลยีHDR-PRO™ ที่รองรับระบบHDR ทั้งระบบ HDR10 และHybrid Log Gamma(HLG) มีการใช้เทคโนโลยีBenQ CinematicColor ที่ครอบคลุมเสปกตรัมของสีในระดับเดียวกับโรงภาพยนตร์ดิจิตอลDCI-P3ทำให้สีที่ออกมากว้างกว่ามาตรฐานเดิมRec.709ถึง26% เมื่อเอามารวมเข้ากับเทคโนโลยีColor Spark HLD LEDทำให้ภาพที่ออกมามีความสว่างสูง ให้สีที่แม่นยำถูกต้องตามที่ผู้กำกับหรือคนทำหนังตั้งใจ นอกจากนี้ก็ยังรองรับการใช้งานร่วมกับเลนส์Panamorph Paladin Anamorphicเพื่อให้สามารถแสดงอัตราส่วนภาพ 2.4:1 เช่นเดียวกับในโรงภาพยนตร์ทั่วไป ทำให้ได้pixelกลับมาจากการที่จะต้องไปเป็นแถบดำบนล่างของภาพอีกกว่า 2ล้านพิกเซล เพิ่มความสว่างและรายละเอียดของภาพ ทำให้ได้สัมผัสประสบการณ์การชมภาพยนตร์ภายในบ้านแบบเต็มจอ2.4:1 เหมือนในโรงภาพยนตร์จริงๆ รูปที่3 […]

BenQ X12000H-2

DLP 4K HDR LED Projector ที่ไม่ต้องใช้Color Wheel หลังจากปีที่แล้วผมได้ทดสอบโปรเจคเตอร์4K HDRของBenQไปในรุ่นW11000H ตอนนี้BenQได้เปิดตัวDLPโปรเจคเตอร์แบบ4K HDR Wide color Gamutรุ่นเรือธงตัวใหม่ล่าสุดออกมาในราคาเปิดตัว 199,900บาท ซึ่งทางBenQได้ส่งให้ผมได้ทดสอบจริงก่อนที่จะวางจำหน่ายในประเทศไทย และหลังจากได้ทดลองใช้และทดสอบอย่างละเอียดเป็นเวลาหลายอาทิตย์ พบว่าโปรเจคเตอร์ตัวใหม่นี้มีจุดเด่นและจุดน่าสนใจหลายประการ วันนี้จึงจะเอามาเล่าให้ฟังกันว่ามีอะไรบ้าง พูดถึงรูปร่างหน้าตาภายนอกนั้นเหมือนกับรุ่นW11000Hที่ทดสอบไปเป๊ะ ถ้าไม่นับสีทองตรงขอบรอบเลนส์กับlogoที่ติดอยู่บนตัวเครื่องเท่านั้นที่ต่างกัน แต่ทางBenQได้กระซิบบอกมาว่าถึงแม้ข้างนอกจะดูเหมือนกันแต่ข้างในเรียกได้ว่าเปลี่ยนยกเครื่องหลายอย่าง เท่าที่ยกเครื่องขึ้นมาดูก็น่าจะจริง เพราะน้ำหนักตัวใหม่นี้หนักถึง18.5กิโลกรัม หนักกว่าตัวW11000Hถึงสี่กิโลกรัม สำหรับตำแหน่งช่องต่อ ตำแหน่งปุ่มปรับ การZoom การFocusทุกอย่างเหมือนกับรุ่นเดิม แต่สิ่งที่ต่างไปก็คือในรุ่นก่อนหน้านี้ก็คือการใช้เทคโนโลยีHDR-PRO™ ที่รองรับระบบHDR ทั้งระบบ HDR10 และHybrid Log Gamma(HLG) มีการใช้เทคโนโลยีBenQ CinematicColor ที่ครอบคลุมเสปกตรัมของสีในระดับเดียวกับโรงภาพยนตร์ดิจิตอลDCI-P3ทำให้สีที่ออกมากว้างกว่ามาตรฐานเดิมRec.709ถึง26% เมื่อเอามารวมเข้ากับเทคโนโลยีColor Spark HLD LEDทำให้ภาพที่ออกมามีความสว่างสูง ให้สีที่แม่นยำถูกต้องตามที่ผู้กำกับหรือคนทำหนังตั้งใจ นอกจากนี้ก็ยังรองรับการใช้งานร่วมกับเลนส์Panamorph Paladin Anamorphicเพื่อให้สามารถแสดงอัตราส่วนภาพ 2.4:1 เช่นเดียวกับในโรงภาพยนตร์ทั่วไป ทำให้ได้pixelกลับมาจากการที่จะต้องไปเป็นแถบดำบนล่างของภาพอีกกว่า 2ล้านพิกเซล เพิ่มความสว่างและรายละเอียดของภาพ ทำให้ได้สัมผัสประสบการณ์การชมภาพยนตร์ภายในบ้านแบบเต็มจอ2.4:1 เหมือนในโรงภาพยนตร์จริงๆ BenQ […]

JVC DLA-NX9

หลังจากJVC DLA-NX9 ได้เปิดตัวปลายปีที่แล้วและได้เริ่มเข้าสู่ตลาดต้นปีนี้ ทางบริษัท Deco2000 ก็ได้ส่งโปรเจคเตอร์ตัวนี้ให้ผมได้ทดสอบอยู่ร่วมเดือน จากการทดสอบในหลายด้านได้ข้อมูลที่น่าสนใจมามากมายเลยเอาผลการลองทดสอบว่าโปรเจคเตอร์ตัวใหญ่สุด และใหม่ล่าสุดของJVCตัวนี้มีอะไรที่น่าสนใจ บริษัทJVCได้เริ่มต้นพัฒนาโปรเจคเตอร์ในระบบD-ILAมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2540 จวบจนปัจจุบันรวมเวลากว่า20ปี โดยเทคโนโลยีD-ILAจะให้ภาพที่มีnative contrastสูง มีรายละเอียดดี ความกว้างของเฉดสีทำได้กว้าง จึงทำให้โปรเจคเตอร์JVCครองใจนักเล่นhome theaterมาอย่างยาวนาน และในปีนี้ทางJVCก็ได้เปิดตัวโปรเจคเตอร์ที่มีความละเอียดระดับNative4K/ 8K e-shiftตัวแรกในโลกออกมา โดยในไลน์ใหม่ของJVCนี้เปิดตัวมาสามรุ่นด้วยกันได้แก่ DLA-N5ราคา199,900 รุ่นDLA-N7ราคา279,900 และรุ่นใหญ่สุดDLA-NX9ราคา649,900 โดยทั้งสามรุ่นใช้ชิป4K D-ILAขนาด 0.69นิ้วตัวใหม่ล่าสุดของJVC มีความสว่างทั้งสามรุ่นตามลำดับคือ 1,800 / 1,900 และ2,200 lumenตามลำดับ โดยตัวNX9มี Native Contrast Ratioอยู่ที่ 100,000:1 และมีDynamic Contrast Ratioอยู่ที่ 1,000,000:1 สำหรับรูปร่างและหน้าตาของโปรเจคเตอร์ตัวใหม่นี้JVCได้เปลี่ยนรูปโฉมใหม่ทั้งหมด ตัวDLA-NX9มีขนาดเครื่องอยู่ที่50×51.8×23.4cm ส่วนขนาดของเครื่อง DLA—N7/N5จะเป็น 50×49.5×23.4cm จะเห็นได้ว่า DLA-NX9มีความยาวกว่าDLA—N7/N5อยู่เล็กน้อย ผิวสัมผัสด้านนอกออกแบบเป็นผิวด้านกว่ารุ่นเดิมทำให้ไม่ติดรอยนิ้วมือง่ายเหมือนรุ่นเดิมที่เวลาติดตั้งเสร็จต้องมานั่งเสียเวลาเช็ดให้เครื่องมันเงาเหมือนเดิมอีก ในรุ่นDLA-NX9ใช้เลนส์ขนาดใหญ่ 100mm เช่นเดียวกับรุ่นFlagship DLA-Z1 โดยเป็นเลนส์แก้วแท้คุณภาพสูง […]

JVC DLA-X9000

เป็นเวลาเกือบห้าปีแล้ว JVCได้พัฒนาโปรเจคเตอร์ที่สามารถแสดงภาพความละเอียดระดับ4Kได้โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า “e-shift”เพื่อทำการupscaleข้อมูลภาพขึ้นมา จนมาถึงล่าสุดเมื่องานCEDIA2015 ณ.เมืองDallas ทางJVCได้เปิดตัวโปรเจคเตอร์รุ่นใหม่ๆอีกสามรุ่นที่นอกจากจะสามารถรับข้อมูลความละเอียดระดับ4Kได้แล้ว ก็ยังสามารถใช้ได้กับ ข้อมูลHDR(high dynamic range) ที่กำลังจะมาพร้อมกับภาพยนต์ความละเอียดแบบUHDโดยจะรองรับการส่งข้อมูลมาตรฐานแบบHDMI/HDCP2.2 ซึ่งโปรเจคเตอร์ที่ออกมาใหม่นี้จะมีอยู่สามรุ่นด้วยกันตือDLA-X9000ที่เป็นรุ่นสูงสุด ส่วนรุ่นที่รองๆลงไปก็จะเป็น DLA-X7000 และDLA-X5000ซึ่งจะเป็นตัวเล็กสุด แต่ถ้าเป็นในประเทศอื่นๆ รหัสรุ่นของเครื่องก็จะต่างกันไปเป็น DLA-X950RหรือDLA-RS600ก็จะเทียบเท่ากับรุ่นDLA-X9000รุ่นใหญ่สุดที่ขายอยู่ในบ้านเรา ส่วนรุ่นDLA-X750R หรือDLA-RS500 ก็คือรุ่นDLA-x7000 และรุ่นน้องเล็กสุด X550RหรือRS400ในบ้านเราก็จะเป็นรุ่นDLA-X5000 คราวนี้เราลองมาดูกันว่าจุดเด่นโปรเจคเตอร์ตัวใหม่ของJVCมีอะไรกันบ้างที่เพิ่มจากรุ่นเดิมๆ อย่างแรกที่อยากจะพูดถึงก็คือเรื่องของความสว่าง โดยในรุ่นใหม่นี้ทำได้ถึง1900 Lumens โดยเมื่อเทียบกับรุ่นเดิมจะมีความสว่างมากขึ้นถึง 46% ในขณะที่รุ่น DLA-X7000 มีความสว่างอยู่ที่1800Lumensเพิ่มขึ้นจากเดิม 38% ส่วนรุ่นเล็กสุด DLA-X5000จะมีความสว่างอยู่ที่1700Lumensเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิม30% นับว่าJVC ให้ความสำคัญกับความสว่างในโปรเจคเตอร์รุ่นใหม่ๆมาก เนื่องจากรู้ว่าจุดด้อยอย่างหนึ่งของJVC ในรุ่นเดิมๆคือความสว่างโดยเฉพาะในรุ่นแรกๆที่ออกมา ดังนั้นการทำให้โปรเจคเตอร์สว่างมากขึ้นทำให้ได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นอีกมากทั้งทำให้ภาพสวย สดใส สีสันมีพลังมากขึ้น สามารถนำไปฉายในจอที่ใหญ่ได้โดยที่ไม่ได้ลดคุณภาพของภาพลงไปมากนัก หรือแม้กระทั่งนำไปฉายในสิ่งแวดล้อมที่ไม่สามารถคุมแสงได้หมด มีแสงอื่นๆเล็ดลอดเข้ามาได้บ้าง ก็ยังสามารถให้ภาพที่ดีได้ ซึ่งเป็นจุดอ่อนอย่างหนึ่งของการใช้โปรเจคเตอร์ และการที่โปรเจคเตอร์ให้ความสว่างได้มากยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของการทำให้ภาพมีHigh Dynamic Range(HDR) เพื่อให้ภาพที่เห็นมีความใกล้เคียงกับแสงจากธรรมชาติมากขึ้นทั้งความสว่างและDynamic Range(ถึงแม้ว่าจริงๆแล้วยังอีกห่างไกลที่ตามนุษย์ได้รับจากธรรมชาติ) ว่ากันในเรื่องของContrastต้องยอมรับว่าตั้งแต่JVCได้ผลิตโปรเจคเตอร์ออกมาสู่ตลาด นับว่าเป็นผู้นำในด้านnative contranst […]

JVC DLA-Z1 Laser & Native 4K HDR Projector

ถ้าพูดถึงโปรเจคเตอร์ที่ใช้ในบ้าน JVCถือว่าเป็นระดับหัวแถวและมีแฟนคลับที่ชื่นชอบในคุณภาพของภาพจากโปรเจคเตอร์JVCอยู่มากมายทั่วโลก โดยเฉพาะในเรื่องของcontrastและความดำจนมีบางคนถึงกับตั้งฉายาว่าJVCนี่เป็นOLEDในโลกโปรเจคเตอร์เลยที่เดียว ซึ่งที่ผ่านมาJVCได้ออกผลิตภัณฑ์ที่เป็นภาพแบบ4K HDRอยู่หลายรุ่น แต่ยังเป็นความละเอียด4Kแบบe-shift ทำให้มีหลายท่านต่างเฝ้ารอว่าเมื่อไรที่JVCจะออกรุ่นที่มีความละเอียดแบบnative 4Kมาเสียที และในที่สุดทางJVCก็ได้ปล่อยผลิตภัณฑ์รุ่นเรือธงที่เป็นภาพระบบ 4K HDRแท้ๆแบบnative นอกจากนั้นยังเป็นรุ่นที่มีแหล่งกำเนิดแสงเป็นlaserด้วย ได้ยินแบบนี้หลายท่านคงสนใจแล้วว่าโปรเจคเตอร์รุ่นนี้มีอะไรที่เป็นจุดเด่น จุดที่น่าสนใจบ้างเพราะระดับโปรเจคเตอร์รุ่นสูงสุดของJVCคงไม่ธรรมดาแน่ ตามมาครับเดี๋ยวผมจะreviewโปรเจคเตอร์ตัวนี้ให้แบบละเอียดเลย อย่างแรกที่ต้องพูดถึงก็คือเรื่องของรูปร่างและขนาด โปรเจคเตอร์ตัวนี้ทางJVCได้เอาประสบการณ์ในการออกแบบโปรเจคเตอร์อย่างยาวนานมาสร้างโปรเจคเตอร์รุ่นนี้โดยออกแบบใหม่ทั้งหมด ขนาดของเครื่องจะใหญ่กว่ารุ่นอื่นๆอยู่พอสมควรเนื่องจากเหตุผลในเรื่องระบายความร้อนของเครื่องlaser และเลนส์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น แต่ก็ไม่ใหญ่ถึงกับว่าหาที่จัดวางในห้องhome theaterปกติได้ยาก อย่างในห้องผมเองสามารถวางไว้ด้านหลังจากตำแหน่งนั่งฟังได้สบายๆ ขนาดตัวถังของเครื่องกว้างxสูงxลึก อยู่ที่ 50×23.5×72เซ็นติเมตร แต่ตัวเครื่องจะหนักหน่อยน้ำหนักอยู่ที่ 37.5กิโลกรัมซึ่งหาที่วางไว้น่าจะเหมาะสมกว่าที่จะแขวนไว้บนเพดาน ผิวของเครื่องรุ่นนี้ทางJVCออกแบบมาอย่างดี โดยพื้นผิวของเครื่องจะเป็นสีดำด้านและไม่เรียบทำให้เมื่อสัมผัสถูกนิ้วมือเวลาติดตั้งจะไม่ทิ้งรอยคราบนิ้วมือไว้ คิดว่าตรงนี้JVCคงได้ประสบการณ์จากรุ่นก่อนที่เวลาติดตั้งเสร็จต้องมานั่งเช็ดคราบรอยนิ้วมือต่างๆที่ติดบนเครื่องหลังยกขึ้นยกลงขยับไปมาตอนติดตั้งนั่นเอง จุดเด่นของโปรเจคเตอร์ตัวนี้ก็คือแหล่งกำเนิดแสงที่เป็นBLU-Escent laserเทคโนโลยี ใช้laser diodesสีฟ้าที่สามารถให้ความสว่างของภาพถึง 3,000lumen ความสว่างที่สูงระดับนี้จึงให้ภาพที่สวยงามบนจอที่มีขนาดใหญ่ได้ ยิ่งถ้าเอาไปดูภาพแบบ4K HDR(High Dynamic Range)ในห้องhome theaterนี้ด้วยแล้วถือว่าเหมาะมาก ระบบกำเนิดภาพlaserแบบนี้เห็นว่ามีอายุการใช้งานถึง 20,000ชั่วโมง…ใช่ครับอ่านไม่ผิดสองหมื่นชั่วโมงกันเลย คิดดูถ้าดูหนังวันละสามชั่วโมงทุกวัน เราก็สามารถใช้งานไปได้ถึง20ปี ถือว่านานมาก แหล่งกำเนิดภาพที่ใช้เป็นD-ILAแบบ3ชิปที่พัฒนาใหม่ให้มีขนาดเล็กและมีระยะห่างแต่ละpixelน้อยลง น้อยจนทำให้สามารถใส่ความละเอียดระดับ4K 4096x2160pixels หรือมากกว่าแปดล้านpixelลงในชิปขนาด 0.69นิ้วลงได้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นชิปแบบnative 4K ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก การมีpixelที่ชิดกันมากๆร่วมกับการจัดวางอย่างดีนี้ก็ส่งผลให้ลดการฟุ้งกระจายของแสง […]

Lyngdorf MP-50

ถ้าพูดถึงSurround Digital Pre-Processor ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในเรื่องคุณภาพของเสียงที่ดี มีความเป็นดนตรีสูง หนึ่งในนั้นที่ต้องพูดถึงก็คือPre-Processorสัญชาติเดนมาร์กของบริษัทSteinway Lyngdorf โดยถ้าพูดถึงชื่อSteinway & Sons เราก็คงคุ้นหูว่าเป็นชื่อยี่ห้อของเปียนโนชื่อดังที่ศิลปินระดับโลกหลายคนมั่นใจในชื่อนี้ ถ้าใครได้ชมภาพยนตร์เรื่อง Green Book คงจะรู้ว่า Dr. Don Shirley(Mahershala Ali) บอกไว้ในภาพยนตร์เลยว่าการแสดงของเขาต้องใช้แต่เปียโนของSteinway & Sonsเท่านั้นเพราะเขามั่นใจในเสียงของเปียโนยี่ห้อนี้มาก ซึ่งสำหรับSteinway & Sonก็มีผลิตภัณฑ์เครื่องเสียงที่ใช้ภายในบ้านหลายตัวทั้งที่เป็นลำโพง Amplifier Pre-processorเรียกได้ว่าครบชุด ตัวที่เป็นรุ่นเรือธงของPre-processorจะเป็นรุ่น P200 มีราคาขายอยู่ที่ 18,000$ โดยจะใช้ได้ร่วมกับระบบของ Steinway & Sonsเท่านั้น ส่วนสำหรับLyngdorf MP-50จะมีราคาย่อมเยาลง(9,999$) โดยทางSteinway Lyngdorfก็ได้นำเอาเทคโนโลยีของP200 ใส่เข้ามาด้วยหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตัวถัง ระบบpower supply เทคโนโลยีการระบายความร้อน รวมไปถึงส่วนสำคัญในระบบคือ RoomPerfect™ calibration และ Room correction system ทั้งยังมีการปรับปรุงให้สามารถใช้กับระบบhome theaterภายในบ้านโดยทั่วไปได้อย่างเหมาะสมและสะดวกสบาย หลังจากได้รับเครื่องก็เปิดกล่องออกมาทดสอบเลยเพราะเครื่องของLyngdorfนั้นในขั้นตอนสุดท้ายจากโรงงาน เขาจะทำการburn inเครื่องเสียงทุกเครื่อง […]

Pioneer UDP-LX500

หมอเอก ถ้าพูดถึงเครื่องเล่นแผ่น Ultra HD Blu-ray Playerหรือบางท่านก็เรียกว่าเครื่องเล่นแผ่น 4K ในปัจจุบันเหลือเพียงไม่กี่รุ่นไม่กี่ยี่ห้อที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาด สืบเนื่องจากการลดตัวลงของตลาดแผ่นหนัง และผู้คนไปเล่นในลักษณะSteaming หรือไฟล์เป็นส่วนมาก ถ้าจะเลือกซื้อเครื่องเล่นแผ่น4Kมาใช้งานก็ทำให้คิดหนักขึ้น จะไปเลือกตัวที่ดีแบบสุดๆก็กลัวว่าจะแพงไปซื้อมาแล้วใช้งานไม่คุ้ม หรือจะซื้อในราคาถูกหน่อยก็กลัวว่าคุณภาพก็จะลดลงมากเกินไป วันนี้ผมเลยเอาเครื่องเล่น 4K Blu-rayของPioneer รุ่น UDP-LX500 ที่ขายอยู่ในสนนราคาประมาณ 30,000บาท +- มาเล่าให้ฟังหลังจากได้ทดสอบเครื่องเล่นนี้เป็นเวลาเกือบสองเดือน ใครสนใจเครื่องเล่นตัวอยู่และกำลังตัดสินใจในการหาซื้อเครื่องเล่น 4K Ultra HD Blu-ray Playerสามารถติดตามอ่านได้เลยครับ ความจริงแล้วถ้าจำกันได้ผมเคยทดสอบเครื่องเล่นUltra HD Blu-ray PlayerของPioneerที่เป็นตัวTopก็คือรุ่น LX800ในปีที่ผ่านมา ซึ่งเครื่องเล่นตัวนั้นถือว่าเป็นเครื่องเล่นแผ่น 4K ที่ดีที่สุดในปัจจุบันของPioneer ราคาจำหน่ายตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 60,000บาท +- เรียกได้ว่าทั้งวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ functionการใช้งานใส่กันมาแบบจัดเต็มสมราคา ซึ่งถ้าใครสนใจในรายละเอียดสามารถหาอ่านได้จากวารสารเล่มเก่าๆหรือช่องทางออนไลน์ของทางนิตยสารAudiophile/Videophileดูได้ แต่ปัญหาคืองบประมาณขนาดนี้สำหรับนักเล่นบางท่านอาจจะคิดว่าสูงเกินไป แผ่นที่สะสมไว้ก็ไม่ได้มีมากมาย และในอนาคตก็ไม่ได้คิดว่าจะเก็บในmediaรูปแบบแผ่นเป็นหลัก การลงทุนในระดับราคาสูงขนาดนี้ก็มองแล้วอาจจะไม่คุ้ม เลยหันไปมองรุ่นที่รองลงมาแต่ยังให้คุณภาพของทั้งภาพและเสียงใกล้เคียงกับรุ่นTopอยู่ ก็นับว่าเครื่องPioneer UDP LX500เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสุดในconditionแบบนี้คราวนี้ผมจะมาลองเทียบกันให้เห็นว่าระหว่าง Pioneer UDP LX500และ Pioneer […]

Pioneer UDP-LX800

หลังจากห่างหายไปนานพอสมควรตอนนี้ทางPioneer ได้ออกเครื่องเล่นแผ่นBlu-ray 4K ระดับflagshipตัวใหม่ออกมาในชื่อรุ่นUDP-LX800 รุ่นนี้มีอะไรน่าสนใจแล้วคุณภาพที่ออกมาเป็นอย่างไรบ้างติดตามกันได้เลยครับ เครื่องที่ผมได้รับมาเป็นเครื่องนำเข้าอย่างถูกต้องจากบริษัทเพาเวอร์บาย ภายนอกกล่องก็จะมีสัญญาลักษณ์ มอก. เพื่อเป็นการรับรองว่าผ่านการตรวจสอบจาก สมอ.อย่างถูกต้องเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งใบรับประกันจากบริษัท เปิดกล่องขึ้นมาก็จะมีอุปกรณ์มาตรฐานมาในกล่องคือremote control สายไฟAC ถ่านไฟฉาย และคู่มือที่เป็นแบบแผ่นDisc เมื่อแกะตัวเครื่องยกออกมาก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแรง ความหนักแน่นของเครื่อง เนื้องานโดยรอบเครื่องเรียกได้ว่าเป็นงานดีมีรายละเอียด นอตแต่ละตัวก็ดูออกว่าใช้โลหะดีมีการประกอบจุดเชื่อต่ออย่างประณีต อ่านในspecพบว่าน้ำหนักของเครื่องอยู่ที่13.8กิโลกรัม ที่มีน้ำหนักมากกว่าเครื่องเล่น 4Kโดยทั่วไปนั้นนอกจากด้านในที่อัดแน่นไปด้วยอุปกรณ์ต่างๆแล้ว ตัวโครงสร้างของเครื่องก็ใช้โครงยึดเหล็ก(Chassis)หนา 1.6มิลลิเมตรสองชั้น เสริมด้วยแผ่นเหล็กหนา 3มิลลิเมตร การออกแบบโครงสร้างแบบนี้ทำให้จุดศูนย์ถ่วงของเครื่องต่ำ เพิ่มความแข็งแรง ป้องกันการสั่นจากภายนอกเข้าไปสู่ภายในเครื่องทำให้การอ่านแผ่นมีประสิทธิภาพและมีความเสถียรมากขึ้น ตัวเครื่องภายนอกจะไม่เห็นช่องระบายอากาศหรือช่องพัดลมแต่อย่างไร การออกแบบแบบนี้ทำให้ลดเสียงรบกวน และเพิ่มเสถียรภาพของโครงสร้างเวลาเล่นแผ่น ด้านในของเครื่องได้แบ่งส่วนโดยใช้คานเหล็กแยกเอาไว้ชัดเจนเป็นสามส่วนคือ ส่วนของPower supply, ส่วนของตัวdriveที่เล่นรวมถึงdigital processing และส่วนที่สามเป็นAnalogue audio การแบ่งแบบนี้ทำให้กำจัดการรั่วไหลของกระแสไฟฟ้า กระแสแม่เหล็กที่จะเข้าไปกวนกัน ในส่วนของPower supplyเองก็ได้แยกเป็นสองตัวคือPower transformerสำหรับวงจรanalogโดยเฉพาะ และPower supplyสำหรับตัวdriveและdigital blocksอีกตัวหนึ่งต่างหาก โดยถ้าเมื่อไรใช้การต่อแบบHDMIตัวPower transformerก็จะปิดวงจรanalog audioทั้งหมดโดยอัตโนมัติ ส่งผลให้คลื่นรบกวนต่างๆลดลง(Signal to Noise ratio) […]

Sony VW270ES

ช่วงปิดร้านมีเวลาCalibrate projectorวนไป วันนี้calibrate Sony VW270ES โปรเจคเตอร์ที่ใช้เทคโนโลยี SXRD เลยเอาเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมาฝากเผื่อมีประโยชน์บ้าง – ตัวที่ปรับนี้burn inมาแค่ 15ชั่วโมงความจริงถ้าจะให้ดีควรจะburnมาแล้วซัก 50-100ชั่วโมงภาพและสีจะคงตัวมากกว่านี้ – Calibrated Presetที่วัดแล้วใกล้มาตรฐานที่สุดคือ REF แต่ถ้าเป็นภาพแบบHDR ภาพCinema film 1 จะให้ภาพที่มีcontrastสูงและสว่างมากกว่าREF – จากสภาพในห้องผมใช้จอเกรน 1.2 การปรับภาพRec.709 SDRค่าcontrastที่เหมาะสมคือ 84, Brightness 51, สำหรับGammaถ้าตั้งที่เครื่อง2.6จะวัดGammaจริงๆจากจอได้2.2, color tempที่ D65ภาพจะติดฟ้าต้องลดสีฟ้าลงทั้งGainและBias – ภาพRec.2020 HDRถ้าจะใช้ Calibrated Presetเป็น Refแนะนำให้ปรับContrast Enhancerเป็นMiddle หรือLow ภาพจะสวยใสขึ้น เพราะว่าค่าที่ตั้งไว้ในRefเป็น Offภาพจะออกทึมๆไม่สว่างไม่เหมาะกับHDRสำหรับโปรเจคเตอร์ Contrast/Brightness ที่วัดได้อยู่ที่ประมาณ 55 ส่วนcolor tempก็ติดสีฟ้าเช่นกันต้องลดลงทั้ง Gain และBias สำหรับสีแดงและเขียวลดลงในBiasเล็กน้อย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่างที่เคยบอกภาพHDRต้องดูภาพจากcontentจริงๆเป็นสำคัญด้วย โดยปรับไปแล้วต้องไม่ไปทำให้tone […]