Article

Search

2020 Home Theater Trend!

ก่อนอื่นต้องขอสวัสดีปีใหม่ทั้งสมาชิกขาประจำ สมาชิกขาจร(ประมาณยืนอ่านตามแผงหนังสือ อ่านจบแล้วก็เดินจากไป อิ อิ) และสมาชิกใหม่ของนิตยสารAudiophile/Videophileทุกท่าน ปีใหม่นี้ก็ขอให้ทุกท่านมีความสุข สมหวัง คิดหวังประการใดขอให้ประสบความสำเร็จ จะเล่นเครื่องเสียงก็ขอให้มีความสุขราบรื่นทุกประการด้วยนะครับ สำหรับบทความเริ่มต้นปีใหม่ พ.ศ.2563นี้ผมจะขอพูดเกี่ยวกับเรื่องราวของระบบภาพ ระบบเสียงของห้องhome theater/home cinemaในปีที่ผ่านมาว่ามีอะไรที่น่าสนใจ และเทรนด์อนาคตปีนี้จะเป็นยังไงบ้างใครที่สนใจเรื่องนี้ติดตามอ่านเนื้อหาต่อไปได้เลยครับ

เริ่มจากในส่วนเรื่องของเสียง ระบบเสียงImmersive Soundก็ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องดังที่ผมได้เขียนไว้อย่างละเอียดในบทความสองสามบทความที่แล้ว อย่างกับระบบDolby Atmosในห้องhome theaterตอนนี้ก็สามารถรองรับระบบลำโพงถึงระดับ 24.1.10channels โดยเสียงในแนวระนาบใช้ลำโพงรองรับ 24channels ส่วนในแนวหน้าหลังก็จะใช้ลำโพงจำนวน 5คู่หรือสิบตัวที่อยู่ด้านบนเพื่อสร้างเสียงวิ่งบนหัวจากด้านหน้าห้องไปยังด้านหลังของห้อง หรือจากด้านหลังห้องมายังด้านหน้าห้อง สำหรับPre-processorที่ออกมารุ่นใหม่ๆก็ต้องขยับจำนวนChannelsให้สามารถรองรับช่องเสียงที่มากขึ้นนี้ และล่าสุดก็มีการนำเอาPre-processorของDolbyเองในรุ่น CP850-Cที่ปกติใช้ในโรงภาพยนตร์ เช่นในโรงของAMC Dolby theatersฯลฯ ก็ได้ถูกบริษัทCortex VIP Cinemasนำมาปรับปรุงใช้ในhome theaterให้สามารถรองรับChannelsตามที่Dolby mastersมาอยู่ที่ 64channelsได้แล้วด้วย โดยตัวCP850-Cนอกจากจะสามารถrendersเสียงไปสู่ลำโพงได้ถึง 64ช่อง มีInternal Crossoversสามารถทำการจัดการfull bass managementในลำโพงแต่ละตัวแล้ว ก็ยังสามารถใช้งาน Dolby Lake equalizationแบบล่าสุด และทำการEQ ในระดับ 1/12th octave เพื่อปรับแต่งเสียงในแต่ละระบบได้อิสระและมีความแม่นยำมากขึ้น สำหรับDolby Amplifiersที่นำมาใช้ร่วมกันก็มีให้เลือกทั้ง 16,24 หรือ 32channels จาก 300wattsต่อchannel ไปจนถึง 1100wattsต่อchannelกันเลย ในส่วนของระบบเสียงDTX:X ก็ได้มีการupgradeจากเดิมที่จำกัดอยู่แค่ 11.1channels กลายเป็นDTS:X Pro ให้สามารถรองรับจำนวน channelsได้มากขึ้นไปถึง 30.2channels และสามารถต่อขยายเพิ่มเป็นถึง 64channelsได้ในอนาคตอีกเช่นกัน สำหรับ IMAX Enhancedที่เปิดตัวมาเมื่อปลายปีที่แล้ว เป็นการร่วมมือกันระหว่างDTS:X กับทาง IMAXเพื่อจะนำประสบการณ์การชมภาพยนตร์แบบIMAXเข้ามาสู่ในบ้าน ในปีนี้ก็เริ่มมีภาพยนตร์ออกมาหลายเรื่อง เช่น Spider-Man Far From Home, Homecoming, Into the Spider-Verse และภาพยนตร์ดังๆของHollywoodอีกมากกว่า 15เรื่องเช่น Alpha, Live, Venom ฯลฯ แต่ส่วนมากจะเป็นการStreaming ส่วนที่ออกมาเป็นแผ่น Blu-ray UHD ก็เห็นมีแต่สารคดีสามสี่เรื่อง ภาพยนตร์ก็จะมีแต่เรื่อง Angray Birds Movie2, Turtle Odyssey และZombieland:Double Tapที่จะเริ่มจัดจำหน่ายในกลางเดือนมกราคมนี้เท่านั้น ซึ่งก็เป็นการบอกเป็นนัยว่าแผ่นภาพยนตร์Blu-ray ก็คงจะค่อยๆลดตัวลงไปเรื่อยๆโดยมีบริการแบบStreaming เพิ่มมากขึ้นมาแทน

รูปที่1 ระบบเสียงImmersive Sound แบบ 64Channelsที่อยู่ในโรงภาพยนตร์ได้เริ่มขยายเข้ามาสู่ในบ้านแล้ว
รูปที่2 Pre-processorของDolbyรุ่น CP850-C ที่สามารถDecodeสัญญาณเสียงDolby Amosได้ 64Channels
รูปที่3 ภาพยนตร์แบบIMAX Enhancedที่ให้บริการในช่องทางStreaming

เห็นจำนวนลำโพงในระบบที่เพิ่มมากขึ้นอย่างมากมายในห้องhome theater แต่สิ่งที่กลับสวนทางกันก็คือปรากฏว่าในปีที่ผ่านมาจากการสำรวจของหลายบริษัทพบว่าจำนวนการขายลำโพงเฉลี่ยโดยรวมของทั่วโลกได้ลดลง อย่างบทความจำนวนกว่า 43หน้าของFuturesource ที่ศึกษา “Worldwide Loudspeaker Market Report” พบว่ามีการลดลงของSpeaker Shipmentsในตลาดมากกว่า 12%เมื่อเทียบกับปีก่อนๆ โดยเฉพาะในส่วนของลำโพงHome theaterที่พบว่ามีระดับการลดลงของการขายมากกว่าลำโพงประเภทอื่น โดยจากการวิจัยก็คาดว่าการลดลงนี้ก็อาจจะเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงลักษณะนิสัยการดูหนังฟังเพลงของคนในปัจจุบันที่ตอนนี้พบว่ามีการใช้ลำโพงประเภทsmart speaker และหูฟังกันมากขึ้น ทั้งเนื่องจากความต้องการการมีอิสระในการฟัง และความสะดวกในการใช้งาน เหล่านี้จึงเป็นส่วนที่สำคัญในการตัดสินใจซื้อลำโพง อย่างไรก็ตามก็ยังมีลำโพงประเภทที่เกี่ยวข้องกับงานตกแต่งภายในที่เรียกว่าArchitectural Speakers อย่างเช่นลำโพงฝังในผนัง หรือฝังในฝ้าเพดานให้เข้ากับลักษณะการตกแต่งภายในห้องเพื่อความสวยงาม ลำโพงประเภทนี้กลับมีแนวโน้มการขยายตัวเพิ่มมากขึ้นสวนทางกับลำโพงประเภทอื่น

รูปที่4 ลำโพงแบบArchitectural Speakerที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น

เทคโนโลยีด้านเสียงอีกอย่างหนึ่งที่เริ่มมีความชัดเจนและออกมาสู่ตลาดผู้บริโภคแบบจริงจังแล้วคือเรื่องของ Dolby Atmos Music หรือบางคนก็เรียกว่า Immersive Music Sound , 3D Music Sound โดยเมื่อหลายเดือนก่อนผมลองกดเข้าไปซื้อเพลงที่เป็นแบบimmersive sound formatทางinternetโดยเขาก็จะให้เลือกไฟล์ว่าต้องการformatแบบไหนที่มีให้เลือกทั้ง mp4, mkv, m2ts ผมก็ลองdownloadมาทุกformatแล้วเทียบกันดู โดยเพลงที่ผมซื้อไว้ปรากฏว่าเลือกเป็นแบบm2tsให้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุดก็เลยdownloadแบบนี้และลองตั้งใจฟังดูว่าเพลงที่ออกมาเป็นแบบimmersive musicนั้นเป็นอย่างไรบ้าง มันไม่น่าฟัง ไม่สมจริงเหมือนที่หลายคนเคยบอกไว้หรือเปล่า ก็หลังจากฟังหลายๆรอบ หลายๆครั้งผมก็ได้ข้อสรุปสำหรับตัวเองว่าการฟังเพลงแบบนี้ถือเป็นมิติใหม่ของการฟังเพลงสำหรับตัวเองเลยทีเดียว นอกจากจะในเรื่องคุณภาพของเสียงที่ออกมาให้คุณภาพของเสียงที่ดีมากแล้ว การที่มีเสียงอยู่รอบตัวมันทำให้เรารู้สึกห่อหุ้มไปด้วยเสียงดนตรี เหมือนตัวเองได้เข้าไปอยู่ท่ามกลางเสียงดนตรีนั้น นอกจากนั้นก็มีเสียงeffectsต่างๆ วิ่งไปวิ่งมารอบตัว ให้ความรู้สึกอินเข้าไปกับเพลง บางทีก็เหมือนกับได้ขึ้นไปอยู่บนเวทีการแสดงสดที่มีคนเล่นดนตรีอยู่รอบๆตัว ถึงตรงนี้ก็ทำให้นึกถึงหนังเรื่องA Star is Bornที่เป็นระบบเสียงdolby atmosและมีฉากอยู่บนเวทีคอนเสิร์ตที่เวลาดูฉากนี้แล้วเสียงออกมาจากหนังทำให้เหมือนเราได้เข้าไปอยู่ในสถานการณ์นั้น เหมือนได้อยู่บนเวทีคอนเสิร์ตที่Bradley Cooper กำลังเล่นกีตาร์ Lady Gagaกำลังร้องเพลงนั้นจริงๆ หรือบางเพลงก็ให้ความรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในClubที่มีดนตรีเสียงดังรอบตัว มีคนเต้นอยู่เต็มลานก็เรียกว่าให้ความรู้สึกตื่นตาตื่นใจ สนุกสนานไปกับเพลงไม่เบื่อดี โดยขณะที่ผมเขียนต้นฉบับอยู่นี้ก็ได้ข่าวว่าทางTidalบริษัทที่ให้บริการonline streaming music ก็มีเพลงแบบdolby atmos musicให้ได้ฟังกันแล้ว แต่ในความคิดเห็นส่วนตัวผมว่าเสียงImmersive Soundแบบนี้อาจจะเหมาะกับแนวเพลงบางประเภท เพลงบางแบบก็ไม่เหมาะที่จะเอามาทำเป็น 3D musicแบบนี้เหมือนกัน อย่างไรก็ตามในเรื่องของImmersive Musicนี้ผมว่าก็ยังเป็นเรื่องใหม่ที่คงต้องรอดูกันต่อไปว่าจะได้รับการตอบรับจากผู้ฟังขนาดไหน ก็คอยติดตามยาวไปสำหรับformatเสียงแบบใหม่นี้ครับ

รูปที่5 Immersive Music Sound ก็ได้เปิดตัวสู่ตลาดผู้บริโภคแล้ว

ในส่วนของภาพ ตอนนี้จะเห็นได้ว่าเริ่มมีทั้งทีวี และโปรเจคเตอร์ที่รองรับความละเอียดระดับ8K ออกมาบ้างแล้ว ซึ่งcontentที่จะนำมาเล่นจริงๆยังน้อย ส่วนมากก็ยังเป็นแค่ไฟล์โชว์อยู่ แต่สำหรับความละเอียดระดับ4K HDR นั้นตอนนี้ออกมาจำหน่ายอย่างมากมาย เรียกได้ว่าตั้งแต่ปี ค.ศ.2020 มาตรฐานความละเอียดของทีวีและโปรเจคเตอร์คงจะเริ่มที่ความละเอียดระดับ 4K กันแล้ว การออกอากาศของสถานีโทรทัศน์ การบริการStreaming และแม้กระทั้งโรงภาพยนตร์ทั่วไปก็ได้ทยอยupgraded เนื้อหาต่างๆให้เป็นความละเอียดระดับ 4K และผลที่ตามมาก็คือเมื่อภาพมีรายละเอียดที่เพิ่มมากขึ้น ความนิยมในการใช้จอแสดงภาพที่มีขนาดใหญ่จึงเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากเมื่อภาพมีความละเอียดเพิ่มมากขึ้นการฉายในจอขนาดใหญ่ก็ยังให้ภาพที่มีคุณภาพดีอยู่ ซึ่งถ้าใครต้องการให้ภาพที่ใหญ่มาก แต่เนื้อที่ภายในห้องจำกัดก็คงต้องใช้โปรเจคเตอร์ประเภท Ultra Short Throwหรือไม่ก็ต้องเปลี่ยนไปใช้เลนส์โปรเจคเตอร์เป็นแบบshort throw ดังจะเห็นได้จากในปัจจุบันจะมีโปรเจคเตอร์ หรือเลนส์ของโปรเจคเตอร์ประเภทนี้ออกมาจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น ในเรื่องของHDRก็จะเห็นได้ว่าโปรเจคเตอร์ความละเอียดระดับ 4K เกือบทั้งหมดที่ออกมาในปีที่แล้ว จะสนับสนุนระบบHDR 10ทั้งนั้น และก็เริ่มมีหลายตัวที่สนับสนุน HDRแบบ Hybrid Log Gammaด้วย ซึ่งตัวHybrid Log Gammaนี้ในอนาคตอีกสองสามปีข้างหน้าก็จะมีความจำเป็นมากขึ้นเนื่องจากเป็นระบบHDRที่นิยมใช้ในการออกอากาศทีวี ส่วนระบบHDRแบบ HDR10 + ที่เป็นDynamic Metadata ลักษณะเดียวกับ Dolby Vision ก็เริ่มมีหนังหลายเรื่องใช้HDRแบบนี้กันแล้ว เนื่องจากจะเป็นการปรับค่าความสว่าง ความมืดของภาพในแต่ละฉาก ให้มีความเหมาะสมมากกว่าการใช้Static Metadata ที่มีการปรับไว้ค่าเดียวตั้งแต่แรก สำหรับเครื่องโปรเจคเตอร์อีกtrendหนึ่งที่เพิ่มความสามารถของHDRได้แก่เทคนิคการใช้Tone Mappingแบบอัตโนมัติภายในเครื่องที่เรียกว่าAuto Tone Mapping สามารถทำให้โปรเจคเตอร์Home theaterในระบบHDR สามารถจัดการจัดการในเรื่องความสว่างที่เพิ่มสูงขึ้น ความดำของcontentแบบHDRดำขึ้นได้ดีกว่าโปรเจคเตอร์รุ่นปีสองปีก่อนหน้านี้ ส่วนแหล่งกำเนิดแสงแบบเลเซอร์ก็เริ่มมีแนวโน้วที่จะมีราคาถูกลง แต่แหล่งกำเนิดแสงแบบ LED ในโปรเจคเตอร์ก็ถือได้ว่าทำผลงานได้ดีในปีที่ผ่านมา มีโปรเจคเตอร์หลายรุ่นหลายยี่ห้อมาใช้แหล่งกำเนิดแสงแบบนี้ เนื่องจากว่าสามารถใช้งานได้ยาวนานกว่า 20,000ชั่วโมง ความร้อนที่ออกมาจากหลอดน้อยกว่าหลอดแบบไส้ทำให้ยืดอายุการใช้งานเครื่อง และที่สำคัญถ้าเป็นแหล่งกำเนิดภาพจากชิป DLPแล้วใช้แหล่งกำเนิดแสงLED ก็จะทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้วงล้อสี(color wheel) การที่โปรเจคเตอร์ไม่มีการใช้color wheelในการสร้างแสงสีแดง แสงสีเขียว แสงสีน้ำเงิน เนื่องจากว่าแหล่งกำเนิดแสงที่เป็นLEDนั้นสามารถสร้างแสงสีต่างๆได้ด้วยตัวของมันเอง ไม่มีความจำเป็นที่ต้องให้ยิงแสงผ่านวงล้อสีหรือcolor wheelเพื่อกำเนิดแสงสีต่างๆเข้าไปสู่ชิปDLP ดังนั้นจึงไม่เห็นการรั่วของสีรุ้ง หรือRainbow effectในโปรเจคเตอร์ทำให้ดูได้นาน ไม่ปวดตาเหมือนโปรเจคเตอร์DLPที่ใช้color wheelแบบเดิมทั่วไป

รูปที่7 แหล่งกำเนิดแสงแบบLEDทำให้เทคโนโลยีการแสดงภาพแบบDLPไม่ต้องใช้Color Wheel

ในส่วนของจอภาพแบบFlat panelหรือจอทีวี ตอนนี้เรียกได้ว่าราคาจอขนาดใหญ่ๆ ได้ลดลงมามากขึ้น โดยเฉพาะจอเทคโนโลยีแบบOLEDที่แต่เดิมมีราคาสูงมาก ตอนนี้เรียกได้ว่ามีแนวโน้มที่ราคาจะลดลงมามากขึ้นเนื่องจากเริ่มมีการเปิดโรงงานผลิตแผง OLEDเพิ่มขึ้นมาอีกหลายที่ หลายบริษัทที่ไม่เคยผลิตจอOLEDก็หันมาเปิดตลาดจอOLEDของตนเอง ในขณะที่โรงงานผลิตจอแบบ LCDก็เริ่มมีการปิดตัวกันไปบ้าง ส่วนเทคโนโลยีแบบQLEDก็ถือว่าตอนนี้ตลาดหรือการตอบรับก็ยังไม่ได้หวือหวามากเท่าไร่เมื่อเทียบกับจอOLED ส่วนจอทีวีHi-Endที่มีขนาดใหญ่ระดับหลายร้อยนิ้ว ก็เริ่มที่จะเข้ามาสู่ในห้องHome Theaterกันบ้างแล้ว(ส่วนมากเป็นห้องเศรษฐีแถวตะวันออกกลาง) แต่ตอนนี้ก็ยังถือว่าราคาสูง อีกหน่อยถ้าราคาลดต่ำลงมาก็คงจะเป็นคู่แข่งของโปรเจคเตอร์ เนื่องจากข้อได้เปรียบของทีวีจอใหญ่ในเรื่องของคุณภาพของภาพที่ออกมา ความสะดวกในการใช้งาน การดูแลรักษาที่สะดวกเมื่อเทียบกับการใช้งานโปรเจคเตอร์โดยทั่วไป อย่างไรก็ตามคิดว่าก็คงอีกหลายปีต่อจากนี้เนื่องจากราคาตั้งของจอทีวีขนาดยักษ์เหล่านี้ยังอยู่ในระดับที่สูงมากอยู่

รูปที่8 จอภาพทีวีขนาดใหญ่ที่ตอนนี้ยังมีราคาสูงอยู่มาก
รูปที่9 HDRแบบHybrid Log Gammaที่ต่อไปจะมีบทบาทในBroadcastต่างๆ

ความคืบหน้าอีกเรื่องที่น่าสนใจในช่วงปีที่ผ่านมาของทีวีก็คือเรื่องของการเพิ่ม “Filmmaker Mode”เข้าไปในทีวี โดยกลุ่มพันธมิตร UHD Allianceได้แก่Dolby, LG, Netflix, Panasonic, Samsung, Warner Bros. (ไม่มีSonyเนื่องจากทางSonyได้บอกว่าทีวีของเขาก็มีModeในลักษณะนี้อยู่ในเครื่องทีวีอยู่แล้ว) ร่วมกับสตูดิโอของHollywood ที่มีผู้กำกับ,filmmakersชื่อดังกว่า 400คนเช่น Martin Scorsese, Christopher Nolan, Ryan Coogler, Patty Jenkins, Rian Johnson, Paul Thomas Anderson, James Cameron, J.J. Abrams, Ava DuVernay, Judd Apatow, Ang Lee, Reed Morano, และ Duffer Brothers ได้เสนอโหมดฟังก์ชันใหม่ที่เรียกว่าFilmmaker Modeให้กับทีวีที่ใช้ตามบ้านเพื่อให้ทีวีรักษาความถูกต้องของภาพยนตร์โดยการยกเลิกการปรับเปลี่ยนpost-processingต่างๆที่ทำให้ตัวหนังเพี้ยนไปจากต้นฉบับเช่นในเรื่องของmotion smoothในทีวีที่บางทีใส่เข้าไปแล้วทำให้motionการเคลื่อนที่ของหนังHollywoodดูแล้วเหมือนกับละครหลังข่าว การรักษาความถูกต้องของAspect ratiosตามต้นฉบับของหนัง ความถูกต้องของเฉดสีในหนัง ความสว่างความมืด รวมไปถึงเรื่องของFrame ratesของหนัง เพื่อให้ภาพยนตร์ที่ฉายออกมาในห้องhome theaterมีความถูกต้อง สวยงามตามที่ผู้กำกับหรือคนทำหนังต้องการ

รูปที่10 Filmmakerแนะนำให้ใช้Filmmaker Modeในขณะที่ดูภาพยนตร์ผ่านทีวี

อย่างกับในเรื่องของFrame ratesที่ขอเสริมนิดหนึ่งเผื่อใครที่อาจจะยังสับสนอยู่ว่าการดูหนังต้องตั้งไว้ที่เท่าไรดี ในอดีตการถ่ายภาพยนตร์ด้วยฟิล์ม การถ่ายทำจะถ่ายไว้ที่ 24framesต่อวินาที(fps) แต่เมื่อนำมาแปลงให้เป็นไฟล์วิดีโอแบบดิจิตอลเพื่อเอาไปออกอากาศระบบNTSC หรือแปลงลงไปเพื่อใส่ลงไปในแผ่นBlu-ray ก็จะกลายเป็นความถี่ 23.976 ในปัจจุบันการถ่ายภาพยนตร์โดยใช้กล้องดิจิตอลก็เลยนิยมการถ่ายทำเป็น 23.976มากกว่าเนื่องจากว่าเวลานำไปแปลงไฟล์เพื่อออกอากาศ หรือบันทึกในแผ่นBlu-rayก็จะลงตัว ตรงไปตรงมามากกว่า ดังนั้นถ้าเราต้องการให้ภาพที่ออกมาจากแผ่นblu-ray มีmotionที่เป็นธรรมชาติตรงตามต้นฉบับหนังที่บันทึกอยู่ในแผ่นBlu-ray ก็ควรจะเลือกที่ความถี่ 23.976(ถ้าเลือกได้) หรือไม่ก็ตั้งไว้ใกล้เคียงที่ 24Hz เพราะถ้าไปตั้งในทีวีหรือเครื่องเล่นเป็น 30,50,60Hz ก็จะทำให้ภาพที่ออกมาเกิดการกระตุกเมื่อเล่นไปได้ทุกๆสองสามนาทีเรียกว่าjudder effects เนื่องจากเกิดframe drop ในระหว่างการชดเชยframesที่หายไปเพราะความไม่ลงตัวของframe rateระหว่างต้นทางกับจอแสดงผล

รูปที่11 ภาพยนตร์ที่บันทึกอยู่ในแผ่นBlu-ray จะมีFrame Rateอยู่ที่ 23.976

ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องราวบางส่วนที่น่าสนใจในแวดวงHome Theaterตลอดปีที่ผ่านมา และเทรนด์ในอนาคตของการเล่นHome Theaterทั้งในส่วนภาพและเสียง ก็จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีบางอย่างก็พัฒนาไปอย่างเชื่องช้าหลายปีผ่านไปก็ยังคล้ายเดิม ในขณะที่หลายอย่างก็พัฒนาไปรวดเร็วจนแทบจะตามไม่ทัน การที่ได้ศึกษาติดตามเทคโนโลยีอย่างสม่ำเสมอก็จะทำให้เราเข้าใจและรู้เท่าทันเทคโนโลยีต่างๆ เมื่อเวลาตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ซักอย่างจะได้ไม่พลาด และมาเสียใจทีหลังว่ารู้อย่างนี้จะได้ศึกษาหาข้อมูลให้รอบคอบตั้งแต่แรก หรือถ้าไม่ได้ใช้ในการตัดสินใจซื้อหาสินค้าอะไร ก็ถือว่าเราได้กำไรคือได้ความรู้เพิ่มมากขึ้นครับ อย่างกับที่คนโบราณเขาบอก “รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม”…ท้ายนี้ก็ขอสวัสดีปีใหม่ 2563 ทุกท่านด้วยครับ

Facebook
Twitter
Email
ดาวน์โหลดบทความ 2020 Home Theater Trend! (PDF)
Picture of ทพ. พงศ์ทิพจักร์ เชื้อเจ็ดองค์

ทพ. พงศ์ทิพจักร์ เชื้อเจ็ดองค์

หมอเอก หมอฟันผู้มีความหลงไหลชื่นชอบในเรื่องHometheater/Homecinema ด้วยความสนใจใคร่รู้ว่าเสียงและภาพในห้อง Hometheater จริง ๆ แล้วควรจะเป็นอย่างไร เลยลงทุนไปเรียนหลายสถาบันทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น THX, HAA, ISF, CEDIA, PVA, Meyer Sound Training, Smaart Training นอกจากนี้ก็เคยเข้าไปสัมผัสห้องสตูดิโอ และโรงภาพยนตร์ระดับมาตรฐานของโลกหลายแห่งไม่ว่าจะเป็น Stag theater, Kurasawa Dubbing Stage, Skywalker Sound Studio ของ Lucasfilm/ Pearson Theater,Bear’s Labของ Meyer Sound/ Dolby Cinema™ โดยความรู้และประสบการณ์ที่ได้มานั้นก็ได้นำมาเขียนเป็นบทความลงนิตยสาร และทำสื่อมัลติมีเดียออนไลน์เป็นเวลาหลายปี ตอนนี้ก็ได้นำบทความสื่อต่าง ๆ รวมถึงบทความใหม่ ๆ คลิปวิดีโอใหม่ ๆ ที่จะมีขึ้นในอนาคตมารวบรวมกันไว้ที่ website นี้ เพื่อให้ใครที่สนใจในเรื่องของ Hometheater เอาไว้เสริมความรู้ และเผื่อสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ที่อาจจะพบเจอในการเล่นเครื่องเสียงของแต่ละท่านได้