มีทั้งเป็นแผ่นblu-ray และไฟล์mkv/m2ts ที่จัดทำขึ้นโดยบริษัทTechno Dad & Joe N Tellเพื่อใช้ช่วยในการปรับเสียง โดยเฉพาะระบบเสียงImmersive soundแบบDolby Atmos เนื่องจากหลายโปรแกรมหรือแผ่นที่ใช้ในการปรับเสียงทั่วไปไม่รองรับ height channelมีแต่ear level channel แต่สำหรับ Spatial Audio Calibration Toolkitสามารถsupportการปรับได้ถึง 9.1.6แชนแนล ลองมาดูกันว่าแผ่นนี้เป็นยังไงบ้าง ทำงานยังไง และคุ้มค่าที่จะซื้อไว้ติดห้องhome theaterไหม ติดตามกันได้เลยครับ

ในเมนูของแผ่นจะแบ่งให้เป็นแต่ละหัวข้อของการปรับเสียงได้แก่ Intro, Call outs, Level Matching, Polarity test, Timing test, Crossover points, Speaker pairs, Tonal Balance, Object panning, Torture test, Impulse response, Sweep test และPeriodic pink noise คราวนี้มาไล่ดูแต่ละเมนูกันว่ามีรายละเอียดและการใช้งานยังไงบ้าง
เริ่มจากIntro จะเป็นการอธิบายรายละเอียดของแผ่นนี้และเป็นการsetup volumeให้เสียงที่ออกมามีความพอดีไม่ดังหรือเบาเกินไป โดยจะมีการเร่งเสียงที่บันทึกมาจากดังปกติจนถึงMax Volume ถ้ารู้สึกว่าเบาเกินไปไม่ได้ยินเสียงชัดเจนก็เร่งเสียงขึ้นไป หรือตอนMax Volumeแล้วรู้สึกดังเกินไปก็ให้ลดเสียงลงมาจนได้ระดับความดังที่พอดีเพื่อใช้ในการcalibrateแผ่นนี้กับระบบในห้องhome theaterของเรา
Call outs เป็นการเช็คว่ามีเสียงออกทุกแชนแนลตามระบบที่เราเลือกโดยสามารถเลือกได้ทั้ง 5.1.2 Front heights, 5.1.2 Middle heights, 5.1.4, 5.1.6, 7.1.2 Front heights, 7.1.2 Middle heights, 7.1.4, 7.1.6, 9.1.2 Front heights, 9.1.2 Middle heights, 9.1.4 และสูงสุด 9.1.6

Level matching เป็นการปล่อยเสียงpink noiseให้ออกแต่ละแชนแนล แล้วใช้เครื่องมือวัดเสียงวัดให้เสียงออกจากทุกแชนแนลดังเท่ากัน สำหรับความดังของAVRก็ตั้งตามความดังที่ต้องการได้เลยจะเอา 70, 75, 80, 85 dBเท่าไหร่ก็ได้แต่ระวังอย่าดังเกินจนเกิดdistortionของลำโพง หรือเบาเกินจนเครื่องวัดไม่สามารถวัดได้อย่างแม่นยำ ซึ่งปกติfunctionแบบนี้จะมีอยู่ในAVRหรือpre-processorอยู่แล้ว แต่จะเป็นการปล่อยpink noiseออกจากเครื่องไม่ใช่ออกจากเครื่องเล่นแผ่นหรือเครื่องเล่นไฟล์ที่ใช้ดูหนัง ดังนั้นการปล่อยเสียงออกจากเครื่องเล่นจึงเป็นการmake sureว่าเวลาเราดูหนังจากต้นทางเหล่านี้ เสียงในแต่ละแชนแนลมีความดังเท่ากันจริงหรือไม่

Polarity test เป็นการเช็คว่าสายลำโพงต่อกลับขั้วกันหรือเปล่า โดยจะปล่อยpink noiseไปยังสองแชนแนลและมีแชนแนลFLเป็นตัวอ้างอิง เช่นFL กับ FR หรือ FL กับ Center เป็นคู่ๆไปทุกลำโพงแล้วฟังเสียงว่าถ้าเสียงที่ปล่อยออกมาแบบin phaseเสียงจะต้องออกมาแบบมีทิศทาง มีความถี่ต่ำที่รู้สึกได้ แต่ถ้าout of phaseเสียงจะไม่มีทิศทาง บอกตำแหน่งphantom imageไม่ได้ เสียงกระจายไปทั่วเช่นทดสอบเสียงFLกับFRเสียงก็จะกระจายไปถึงด้านหลังบริเวณSurroundด้วย ส่วนความถี่ต่ำของout of phaseนั้นจะน้อยมากหรือไม่มีเลย ซึ่งถ้าทดสอบแล้วลำโพงคู่ไหนเป็นแบบout of phaseแสดงว่าสายลำโพงของลำโพงคู่นั้นมีการสลับกันของลำโพงตัวใดตัวหนึ่ง

Timing Tests เป็นการทดสอบเรื่องของdelayว่าเสียงของแต่ละแชนแนลของลำโพงมาถึงตำแหน่งนั่งฟังพร้อมกันหรือไม่ โดยจะมีการปล่อยเสียงเคาะ ปิ๊ก-ป็อก สั้นๆคล้ายเสียงตีปิงปอง ในแชนแนลต่างๆพร้อมกันกับลำโพงFL แล้วให้ฟังเสียงเทียบกันดูว่าเสียงมาถึงตำแหน่งนั่งฟังพร้อมกันไหม ไม่ได้ยินเสียงแต่จากแชนแนลใดแชนแนลหนึ่งก่อน เช่น ลองปล่อยเสียงจากSurr back leftพร้อมกับ FL แล้วลองฟังดูถ้าได้ยินเสียงปิ๊ก-ป็อก ไม่ชัดเจนคล้ายซ้อนกันอยู่ก็แสดงว่าต้องเช็คelectronic delayในAVRใหม่ซึ่งก็คือการปรับค่าdistanceของลำโพงในAVR หรือจะทำPhysical movementขยับลำโพงจริงให้ห่างออกไปก็ได้ เสร็จแล้วก็ต้องลองrecheckอีกทีจนเสียง ปิ๊ก-ป็อก ออกมาชัดเจน แสดงว่าเสียงจากลำโพงทั้งสองถึงตำแหน่งนั่งฟังพร้อมกัน
Crossover points เป็นการเช็คว่าลำโพงสามารถปล่อยความถี่ได้ต่ำสุดเท่าไหร่ โดยจะเป็นการค่อยๆปล่อยสัญญาณpink noiseที่มีความถี่ต่ำกว่า 250Hzลงไปทีละขั้นจนถึง 16Hz แล้วฟังดูว่ายังได้ยินเสียงความถี่ต่ำจากลำโพงไหม ก็จะทำให้รู้ว่าลำโพงตัวนั้นสามารถสร้างความถี่ต่ำลงไปถึงที่ระดับเท่าไหร่ เหมือนกับในspecที่แจ้งไว้หรือเปล่า หลังจากนั้นก็ค่อยพิจารณาเลือกจุดCrossover pointsระหว่างแชนแนลนั้นกับลำโพงsubwoofer โดยแนะนำให้เลือกจุดcrossover pointsอยู่สูงกว่าความถี่ต่ำสุดที่ลำโพงสามารถทำได้อย่างน้อย 10-20Hz และอีกอย่างตอนเช็คเสียงcrossover pointsอย่าลืมปิดsubwooferด้วย ไม่งั้นจะมีเสียงออกมาจากsubwooferด้วย ก็ทำให้ผลที่ได้คลาดเคลื่อนไป

Speaker pairs ลักษณะการทดสอบจะคล้ายกับtiming testsแต่ว่าเสียงที่ออกมาจะเป็นเสียงpink noiseแทน เวลาทดสอบก็สามารถเลือกแชนแนลที่ต้องการทดสอบเป็นคู่ได้เช่นFL/FR, F wide L/R, Surr L/R ฯลฯ หรือระหว่างลำโพงข้างเดียวกันกับลำโพงFL/FRก็ได้ แล้วก็ฟังเสียงphantom imageว่าเสียงที่ออกมาอยู่ตรงกลางระว่างลำโพงคู่ที่ทดสอบไหม ถ้าไม่อยู่ตรงกลางหรือเอียงไปในส่วนของลำโพงใดลำโพงหนึ่งก็ต้องกลับไปเช็คในส่วนของlevel matchingกับtiming testอีกที

Tonal balance จะปล่อยเสียงpink noiseไปยังลำโพงทุกตัวตามรูปแบบแชนแนลที่เลือกไว้ แล้วฟังดูว่าเสียงมีความสมดุลกันไหม มีเสียงเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งหรือไม่ หรือมีเสียงตรงส่วนไหนที่เด่นออกมากว่าส่วนอื่นๆหรือเปล่า

Object panning จะเป็นเสียงpink noiseเคลื่อนไปตามส่วนต่างๆของห้อง สามารถเลือกได้ว่าจะเป็นระดับear level ระดับ50%ear levelหรือระดับheight levelอย่างเดียว การเคลื่อนก็เลือกให้เสียงเคลื่อนแบบสี่เหลี่ยมตามผนังห้อง หรือรูปทรงdiamondเคลื่อนที่ทะแยงไปตามกึ่งกลางผนังห้องรอบตำแหน่งนั่งฟังก็ได้ โดยหน้าจอก็จะแสดงเป็นลูกบอลสีเหลืองตามตำแหน่งเสียงและจะบอกด้วยว่าตอนนี้มีลำโพงตัวไหนกำลังทำงานบ้าง ก็ให้ดูตำแหน่งบอลและเสียงที่ได้ยินในห้องจริงๆว่าตำแหน่งเสียงตรงตามลูกบอลบนจอหรือเปล่า ซึ่งถ้าไม่ตรงก็ต้องไปเช็คตำแหน่งลำโพง ความดังของเสียง delayของเสียงว่ามีตรงไหนที่ผิดพลาด

Torture tests ทดสอบการเคลื่อนที่ของเสียงในหลายรูปแบบทั้งแนวระนาบ แนวบนล่าง หรือแนวทแยงภายในห้อง ที่ดีคือไม่ได้มีให้เลือกแต่เสียงpink noiseอย่างเดียว ยังสามารถเลือกเป็นเสียงคนพูดได้ด้วย ทำให้การฟังตำแหน่งเสียงจะแม่นยำและมีdirectionมากกว่าเสียงpink noise ที่บางทีpink noiseจะฟังตำแหน่งยากเนื่องจากเสียงpink noiseจะฟังเหมือนomni directionมากกว่า

ถัดจากนี้จะเป็นเสียง Impulse response, Sweep testและ Periodic pink noise เหมาะกับการปรับในระดับมืออาชีพที่ใช้เครื่องมือวัดเสียงร่วมด้วย เพื่อดูการตอบสนองของห้องต่อเสียงในรูปแบบต่างๆว่าห้องตอบสนองต่อเสียงที่ความถี่ต่างๆเป็นอย่างไรบ้างจะได้ทำการแก้ไข จัดการความผิดปกติต่างๆของเสียงได้อย่างถูกต้องแม่นยำ


สรุปแล้วผมว่าspatial audio calibration toolkit เป็นอุปกรณ์เสริมที่ช่วยในการcalibrateระบบhometheater เหมาะกับทั้งมือใหม่ที่ชอบการmanual calibration จนถึงนักปรับเสียงระดับมืออาชีพที่ต้องการsourceเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการยืนยันว่าเสียงที่ปรับด้วยเครื่องมือแบบละเอียดเมื่อฟังจริงจากเครื่องเล่นแผ่น หรือเครื่องเล่นไฟล์แล้วนั้นมีความถูกต้องเหมาะสมและดีหรือยัง สำหรับราคาค่าตัวถ้าเป็นDigital Versionแบบไฟล์MKV/M2TSราคาจะอยู่ที่ 3,400บาท ถ้าเป็นแบบแผ่นblu-ray discราคาก็จะเท่ากันอยู่ที่ 3,400บาท และถ้าซื้อพร้อมกันทั้งสองแบบจะอยู่ที่ประมาณ 5,200บาท ซึ่งราคาอาจจะสูงไปหน่อย แต่ผมว่าถ้าใครต้องการศึกษาเรียนรู้หรือต้องการอุปกรณ์เพิ่มเติมเพื่อช่วยในการปรับเสียงในห้องhome theaterให้มีเสียงที่ดีขึ้น ผมว่าก็คุ้มค่ากับการลงทุน ยังไงใครสนใจก็ลองเข้าไปหารายละเอียดเพิ่มเติมจากwebsiteของทางบริษัทได้ที่ spatialcd.com ครับ