Review

Search

BenQ W2700i โปรเจคเตอร์ดูหนัง 4K HDR พร้อมแอนดรอยด์ทีวี

เมื่อช่วงปลายปีที่แล้วผมได้ไปร่วมรายการวิทยุTechno For Life – FM99 ทางผู้จัดรายการคุณบอสได้ถามผมว่าแนวโน้มโปรเจคเตอร์ดูหนังในบ้านปีต่อไปจะเป็นอย่างไรบ้าง ตอนนั้นผมก็ได้ตอบแบบคาดการณ์ไปว่าในอนาคตโปรเจคเตอร์ที่เป็น android TVก็จะเกิดขึ้นและมีบทบาทมากขึ้นเนื่องจากการใช้งานที่สะดวก เหมาะกับlife styleปัจจุบัน ทำให้คนที่อยู่อาศัยในห้องขนาดเล็กสามารถดูหนังหรือดูทีวีในขนาดจอที่ใหญ่ขึ้นและมีราคาที่คนทั่วไปจับต้องได้ ซึ่งไม่กี่เดือนต่อมาทางบริษัทBenQ ก็ได้ส่งโปรเจคเตอร์แบบ Android TVตัวใหม่ล่าสุดมาให้ผมได้ลองเล่น ลองทดสอบดูประสิทธิภาพดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง ใครสนใจติดตามอ่านได้เลยครับ #หมอเอก

โดยโปรเจคเตอร์ที่ส่งมานี้เห็นว่าเป็นตัวแรกที่เข้ามา เลยเอามาให้ผมทดสอบดูก่อน ดูชั่วโมงการใช้งานจากเมนูเครื่องก็เริ่มจาก 0 hr จริงๆ เห็นรหัสกับรูปร่างเครื่องในตอนแรกก็จะคล้ายๆกับโปรเจคเตอร์ตัว BenQ W2700 แต่จะมีตัวอักษร i เพิ่มเข้ามา เพื่อบอกว่าเป็นรุ่นที่รองรับ Android TV ซึ่งตัว i ที่เพิ่มเข้ามาน่าจะสื่อความหมายถึงintelligent ส่วนราคาค่าตัวอยู่ที่ 59,900บาท ผมว่าอยู่ในระดับราคาที่สามารถเข้าถึงกันได้สะดวกหน่อย

ขนาดตัวเครื่องจะเล็กกะทัดรัดเช่นเดียวกับรุ่น W2700 มีความยาว ความกว้าง ความสูงอยู่ที่ 380x127x263mm น้ำหนักก็เบาแค่ 4.2kg. ยกไปวางตามที่ต่างๆได้สะดวก ไม่เกะกะพื้นที่ ส่วนspecต่างๆก็จะใกล้เคียงกับรุ่นW2700 ระบบกำเนิดภาพใช้ชิปแบบ DLP ให้ความละเอียดภาพระดับ 4K UHD(3840×2160) ความสว่างอยู่ที่ 2000ANSI Lumes เรียกได้ว่าถ้าควบคุมแสงในห้องดีหน่อยก็ให้ความสว่างในระดับจอที่ไม่ได้ใหญ่ในระดับเกิน 150นิ้วขึ้นไปสบาย แหล่งกำเนิดแสงจะใช้แบบหลอดไฟ โดยอายุหลอดที่แจ้งไว้เปิดในmode Normal จอยาวนาน 4,000ชั่วโมง แต่ถ้าเปิดในmode SmartEcoจะยิ่งช่วยยืดอายุหลอดไปไกลถึง 15,000ชั่วโมงเลยทีเดียว

อุปกรณ์ที่ให้มาภายในกล่องก็จะมีสายไฟ, รีโมทพร้อมถ่าน, คู่มือการเริ่มใช้งานอย่างรวดเร็ว, แท่งAndroid TV dongle, ใบรับรองผลการCalibrationวัดอุณหภูมิสี D65, แกมมา, ระดับสีดำ, ระดับสีขาว, สีเทากลาง, การติดตามสี RGBCMY, ความอิ่มตัวของสี, ความสว่าง, และผลลัพธ์ตามมาตรฐาน ITU-R Rec.709โดยวัดที่ Picture mode D. Cinema และ DCI-P3ที่ User mode

รีโมทมีสองตัว ตัวใหญ่สำหรับควบคุมตัวเครื่องโปรเจคเตอร์ อีกตัวไว้ควบคุมAndroid TVและเครื่องโปรเจคเตอร์

ด้านหลังของเครื่องก็มีช่องต่อมาตรฐาน ได้แก่ HDMI 2.0bจำนวนสองช่อง, USB3.0 5V 1.5A Type A, USP2.0 2.5A Type A, USB Type miniB, RS-232สำหรับการservice, Trigerแบบ DC 12V, ช่องต่อAudio Outทั้งแบบแจ็ค 3.5mm และ แบบS/PDIF(Optical)ที่ใช้ในการส่งสัญญาณเสียงSurround Soundแบบต่างๆไปยังAVRหรือAV receiverของระบบhome theater แต่เวลาจะใช้ช่องต่อOpticalนี้ก็ต้องไปsetที่เมนูSound-S/PDIF-Enableของโปรเจคเตอร์ด้วย

ฝาด้านบนของเครื่องเมื่อใช้ไขควงขันน็อตออกสองตัวด้านข้างก็จะเปิดได้เพื่อทำการติดตั้ง Android TV dongle

เมื่อเปิดฝาเครื่องออกมาก็นำ Android TV dongleหรือAndroid Stickมาเสียบช่องUSBและHDMIที่อยู่ในตัวเครื่องโปรเจคเตอร์ เพื่อเชื่อมต่อระบบAndoid TVเข้ากับตัวเครื่อง แค่นี้ก็จะทำให้โปรเจคเตอร์กลายเป็นSmart Projectorเปิดดูช่องต่างๆได้จากตัวเครื่องเองแล้ว

อย่างที่บอก จุดเด่นของโปรเจคเตอร์ตัวนี้ก็คือรองรับระบบ Android TV 9.0 และสามารถupgradeได้ตลอด ทำให้เข้าถึงcontentที่น่าสนใจต่างๆได้อย่างสะดวกจาก Google Play Store , จาก YouTube และเกมส์ต่างๆมากมาย ทั้งยังสามารถติดตั้งAppsเพิ่มเติมได้หลายพันappsที่มีอยู่ ทำให้เปิดประตูสู่โลกความบันเทิงแบบไม่อั้น นอกจากนี้ก็ยังสามารถcast หนัง, เกมส์, รายการทีวี, เพลง, รายการกีฬา ฯลฯ จากทั้งระบบAndroid , iOS , Mac, Chromebook หรือ Chrome Browserก็ได้

แกะกล่องเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆเรียบร้อยก็ยกขึ้นแท่นทดสอบที่ใช้วางโปรเจคเตอร์BenQ W11000H ทำการเปิดเครื่องเพื่อทำการทดสอบAndroid Projectorตัวนี้แบบตื่นเต้น บนจอStewart FireHawk G5 2.35:1 ขนาด 150นิ้ว แต่พอเปิดเครื่องมา….อ้าวปรากฏว่าภาพล้น ใหญ่เกินจอครับ555

เพราะว่าโปรเจคเตอร์ตัวนี้ค่อนข้างshort throwมีระยะการฉายที่สั้นกว่าโปรเจคเตอร์ตัวเดิม ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับใครที่มีขนาดห้องเล็กแต่ต้องการภาพใหญ่ ทำให้สามารถวางไว้ระหว่างตำแหน่งนั่งดูกับจอภาพแล้วฉายภาพออกไปขนาดใหญ่ได้สบาย ถ้าใครต้องการทราบขนาดภาพที่ฉายได้แบบละเอียดในอัตราส่วนภาพแบบต่างๆ ในระยะการฉายแต่ละระยะก็สามารถเข้าไปคำนวณได้จากwebsiteของBenQนี้ได้เลยครับ https://projectorcalculator.benq.com/

และแล้วก็ได้จุดวางที่เหมาะสมในห้องผม คือวางไว้ด้านหน้าตำแหน่งนั่งดู ห่างจอประมาณสามเมตรฉายออกมาก็ได้ขนาดภาพใหญ่ระดับ 120นิ้ว วางไว้ตำแหน่งนี้ข้อดีอีกอย่างที่เจอก็คือเสียงที่ออกจากด้านหลังโปรเจคเตอร์ เป็นลำโพงขนาด 5Wx2 ก็จะเป็นตำแหน่งคล้ายๆกับเป็นSound Bar จำลองเสียงเหมือนออกมาจากจอได้ดี คุณภาพเสียงก็อยู่ในระดับที่ดีเมื่อเทียบกับเป็นลำโพงขนาดเล็กซ่อนอยู่ในโปรเจคเตอร์

หลังจากนั้นก็ทำการCalibrationเพื่อให้อุณหภูมิสี D65, EOTF, ระดับสีดำ, ระดับสีขาว, ความอิ่มตัวความสว่างความถูกต้องของสีใกล้เคียงกับค่ามาตรฐานที่สุด

อุปกรณ์ที่ใช้ในการปรับภาพก็เป็นชุดเดิมที่ผมใช้เป็นมาตรฐานมาโดยตลอดได้แก่ Murideo Six-G เป็นpattern generator เครื่องวัดภาพcolorimeterเป็นKlein K10-A ส่วนspectroradiometerจะเป็นJeti Spectraval1511

จากในใบCalibration Certificate ที่ให้มาจะเห็นว่าPicture Mode D. Cinemaจะมีค่าใกล้เคียงมาตรฐานที่สุด แต่ว่าModeนี้เป็นการใส่filterเข้าไปทำให้มีการสูญเสียความสว่างของโปรเจคเตอร์ไปบางส่วน ดังนั้นถ้าใครยังต้องการภาพที่สว่างอยู่ผมแนะนำให้ใช้Mode Cinemaที่ถึงแม้ค่าความถูกต้องของภาพจะไม่เที่ยงตรงเท่ากับD. Cinemaแต่ภาพให้ความสว่างมากขึ้นอยู่พอสมควรทีเดียว อย่างกับที่เทียบกันขนาดหน้าจอ 120นิ้วในสิ่งแวดล้อมที่ห้องผมวัดค่าความสว่างที่ D. Cinema ได้ 10fL แต่ถ้าเลือกเป็น Cinemaจะให้ความสว่างขึ้นมาสูงถึง 14fL ดังนั้นถ้าห้องใครต้องการความสว่างของโปรเจคเตอร์มากขึ้นเลือกModeนี้จะให้ภาพที่สว่างมากกว่า แต่ว่าภาพของmode Cinemaนี้ที่ผมวัดออกมาพบว่าติดสีฟ้าในช่วงความสว่างสูงจึงต้องมีการลดค่าตรงนี้ลงมาหน่อย อย่างในห้องผมค่าที่เหมาะสมสำหรับColor Tempได้แก่ Red Gain 105, Green Gain 99, Blue Gain 93, Red Offset 247, Green Offset 252, Blue Offset 251 สำหรับ Color Management ค่า Hue, Saturation, Gainของแต่ละสีตามนี้ สีขาว 200/200/189, สีแดง 214/196/197, สีเขียว 246/207/237, สีน้ำเงิน 177/198/214, สีฟ้าอ่อน 254/200/290, สีม่วง 161/179/215, สีเหลือง 291/184/232 ซึ่งเมื่อทำการใส่ค่าดังกล่าว Gamma, Gray Scale, Color Gamut etc. ก็มีค่าใกล้เคียงมาตรฐานดีขึ้นมาก แต่ว่าค่าที่ให้ไปไม่ได้หมายความว่าเหมาะสมกับทุกห้องนะครับ มันขึ้นอยู่กับแสง และสิ่งแวดล้อมภายในห้องด้วย ยังไงก็ดูเอาไว้เป็นแนวทางคร่าวๆก็ได้ แล้วถ้าต้องการความถูกต้องมากขึ้นอาจจะต้องให้ช่างปรับภาพมืออาชีพมาปรับให้ก็จะให้ผลที่แม่นยำในแต่ละห้องมากขึ้น

ทำการปรับภาพตั้งค่าต่างๆเรียบร้อยได้เวลามาดูภาพกันแล้ว เมื่อเปิดapp เพื่อจะดูภาพออกมาก็พบกับหน้าจอให้Upgrade Firmwareเลย เพราะว่าเครื่องโปรเจคเตอร์BenQ W2700i สามารถทำการUpdate Firmwareได้อัตโนมัติเมื่อเครื่องเชื่อมต่อกับinternet ทำให้สะดวกในการupdate ไม่ต้องวุ่นวายในการSave fileลงFlash driveเพื่อนำมาupdateผ่านUSB port แบบนี้แค่คลิกOKไปตามขั้นตอนต่างๆ ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็เรียบร้อย(ขึ้นอยู่กับความเร็วinternetของผู้ใช้)

เมื่อเปิดAndroid TV ก็เข้าไปสำรวจApp ต่างๆ ซึ่งก็จะพบกับApp ยอดนิยมต่างๆ ทั้งยังสามารถหาและติดตั้งappเพิ่มเติมได้สะดวกรวดเร็ว อารมณ์ประมาณเหมือนที่อยู่ในSmart TVเลย

เมื่อทุกอย่างเข้าที่เรียบร้อยก็มาเปิดดูภาพกัน(ตั้งท่ามาหลายทีละ555) เริ่มจากเข้าไปดูที่App YouTubeก่อน พบว่าเครื่องสามารถแสดงผลภาพที่เป็น 4K HDRในappนี้ได้ สามารถกดเช็คจากเมนูของเครื่องโปรเจคเตอร์ก็จะแจ้งรายละเอียดSourceว่ารายละเอียดที่ส่งมาเป็นแบบไหน

อย่างในภาพนี้ดูตัวอย่างภาพยนตร์HollywoodในYouTube ก็จะแสดงภาพออกมาที่ระดับ 2160p HDR10 ความกว้างสีBT.2020 สำหรับแนวของภาพที่ออกมาจะเน้นไปในแนวคมชัด สีสันสดใส contrastของภาพทำได้ดีถึงแม้จะเป็นโปรเจคเตอร์เทคโนโลยีแบบDLP แต่ก็ยังถือว่าให้ระดับความดำที่ดี การไล่ระดับความมืด ความสว่างทำได้ดี ไม่พบการผิดเพี้ยน

ลองกับคลิปในYouTubeที่คุณภาพสูงแบบ 4K, 8K HDR ภาพที่ออกมาอยู่ในระดับดีมาก เด่นในเรื่องของรายละเอียดภาพและสีสัน ซึ่งผมว่าถ้าไม่ได้ดูแบบจับผิดจริงๆความรู้สึกของคุณภาพของภาพจากYouTube แทบจะไม่รู้สึกแตกต่างระหว่างภาพที่เล่นจากไฟล์เลย

ในตัวเครื่อง BenQ W2700iเองก็สามารถเชื่อมต่อกับ External Harddisk หรือFlash Drive เพื่อเล่นไฟล์โดยตรงได้และสามารถถอดรหัสเสียงSurroundเพื่อส่งออกไปในช่องต่อแบบOpticalได้เช่นกันโดยไฟล์วิดีโอที่รองรับก็จะมี MPEG1, MPEG4, H.263, Motion JPEG ในระบบเสียง MPEG ½ Layer1, MPEG ½ Layer2, FLAC แต่ถ้าใครเป็นขาเล่นไฟล์แบบเน้นๆก็สามารถเชื่อมต่อเครื่องโปรเจคเตอร์กับUniversal Media Playerที่ใช้อยู่ผ่านทางช่องHDMIตามปกติได้

สำหรับNetflixนั้นในตอนนี้เครื่องโปรเจคเตอร์BenQ ยังไม่สามารถเล่นได้โดยตรงจากตัวapp แต่จะอาศัยการเล่นผ่านมือถือหรือคอมพิวเตอร์แล้วcastภาพขึ้นไปยังโปรเจคเตอร์ได้เช่นกัน ทำให้แฟนๆNetflixไม่ต้องกลัวว่าจะพลาดภาพยนตร์หรือซีรีส์ที่ชื่นชอบที่มีอยู่อย่างมากมายในNetflix ซึ่งคุณภาพของภาพกับเสียงนั้นก็อยู่ในระดับที่ดีใช้ได้เลยทีเดียว

นอกจากนั้นตัวAndroid TVในโปรเจคเตอร์ก็ยังรองรับapp ดูหนัง กีฬา คอนเสิร์ต ดนตรี อื่นๆอีกมากมาย อย่างตอนที่กำลังทดสอบผมก็ได้รับชมภาพยนตร์เรื่อง Zack Snyder’s Justice League ผ่านทางapp HBO GO ได้อย่างไม่มีปัญหา(ยกเว้นในช่วงสองสามชั่วโมงแรกที่ปล่อยStreamingคนเข้าไปดูเยอะจนทำให้Webล่ม555) ซึ่งก็ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้เครื่องโปรเจคเตอร์เพียงตัวเดียวไม่ต้องต่ออะไรเพิ่มเติมทำให้สามารถดูหนังที่Streamingได้พร้อมๆกับผู้ชมจากทั่วโลกอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ

หลังจากที่ได้ทดสอบโปรเจคเตอร์ BenQ W2700i ก็ต้องยอมรับว่าโปรเจคเตอร์ในปัจจุบันนี้พัฒนาจนมีความสามารถรอบตัวจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าเครื่องขนาดเล็กๆราคาไม่ได้สูงมาก สามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้หลายอย่าง โดยที่ยังคงรักษาคุณภาพของภาพโปรเจคเตอร์สำหรับห้องHome Theaterไว้อยู่อย่างครบถ้วน ผมว่าโปรเจคเตอร์ตัวนี้เหมาะกับคนรุ่นใหม่ที่ไม่ต้องการความยุ่งยากในการติดตั้งเนื่องจากใช้เนื้อที่ในการจัดวางน้อย ด้วยขนาดที่เล็กน้ำหนักเบาจึงสามารถยกไปตั้งตรงไหน วางตรงไหน เคลื่อนย้ายไปห้องต่างๆได้สะดวก เวลามีปาร์ตี้อยากดูหนังดูกีฬาในห้องนั่งเล่นก็ยกไปตั้งได้เลยไม่ต้องมีการSetupที่ยุ่งยาก โดยยังให้คุณภาพของภาพที่ดี เรียกได้ว่าโปรเจคเตอร์ตัวนี้ตอบโจทย์ชีวิตคนยุคใหม่ได้อย่างลงตัวทีเดียว ท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางบริษัทBenQประเทศไทยที่ได้ส่งโปรเจคเตอร์ตัวนี้มาให้ทดสอบด้วยครับ ส่วนใครที่สนใจเข้าไปเช็คสเปคกันได้ที่ https://benqurl.biz/3faZFIU

Facebook
Twitter
Email
ดาวน์โหลดบทความ BenQ W2700i โปรเจคเตอร์ดูหนัง 4K HDR พร้อมแอนดรอยด์ทีวี (PDF)
Picture of ทพ. พงศ์ทิพจักร์ เชื้อเจ็ดองค์

ทพ. พงศ์ทิพจักร์ เชื้อเจ็ดองค์

หมอเอก หมอฟันผู้มีความหลงไหลชื่นชอบในเรื่องHometheater/Homecinema ด้วยความสนใจใคร่รู้ว่าเสียงและภาพในห้อง Hometheater จริง ๆ แล้วควรจะเป็นอย่างไร เลยลงทุนไปเรียนหลายสถาบันทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น THX, HAA, ISF, CEDIA, PVA, Meyer Sound Training, Smaart Training นอกจากนี้ก็เคยเข้าไปสัมผัสห้องสตูดิโอ และโรงภาพยนตร์ระดับมาตรฐานของโลกหลายแห่งไม่ว่าจะเป็น Stag theater, Kurasawa Dubbing Stage, Skywalker Sound Studio ของ Lucasfilm/ Pearson Theater,Bear’s Labของ Meyer Sound/ Dolby Cinema™ โดยความรู้และประสบการณ์ที่ได้มานั้นก็ได้นำมาเขียนเป็นบทความลงนิตยสาร และทำสื่อมัลติมีเดียออนไลน์เป็นเวลาหลายปี ตอนนี้ก็ได้นำบทความสื่อต่าง ๆ รวมถึงบทความใหม่ ๆ คลิปวิดีโอใหม่ ๆ ที่จะมีขึ้นในอนาคตมารวบรวมกันไว้ที่ website นี้ เพื่อให้ใครที่สนใจในเรื่องของ Hometheater เอาไว้เสริมความรู้ และเผื่อสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ที่อาจจะพบเจอในการเล่นเครื่องเสียงของแต่ละท่านได้