งานBAV2018 เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้ไปบรรยายเนื้อหาเรื่องIMAX Enhanced ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมชมงานอย่างมากมาย แต่ก็มีผู้สนใจบางท่านไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมในวันดังกล่าวได้ และถามเข้ามาหลายคนอยากให้เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่และมีหลายท่านให้ความสนใจ ถึงแม้ว่าของจริงยังไม่ได้ออกมามีเพียงแต่การนำเสนอในงานCEDIA2018ครั้งที่ผ่านมา บทความในฉบับนี้ผมเลยจะเอาเรื่องนี้มาพูดถึงอีกครั้งทั้งในเรื่องข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประสบการณ์ที่ผมได้ไปสัมผัสIMAX Enhancedจริงๆว่าเสียงที่ได้ภาพที่ออกมาจะเป็นอย่างไรกันบ้าง
ก่อนหน้าที่จะไปถึงเรื่องของIMAX Enhancedก็ขอปูพื้นในเรื่องของโรงภาพยนตร์IMAXกันก่อนว่าทำไมโรงภาพยนตร์IMAXถึงมีความพิเศษมากกว่าโรงภาพยนตร์โดยทั่วไป เริ่มจากระบบเสียงก่อน ระบบเสียงของIMAX นั้นเขามีระบบของเขาเองซึ่งจะไม่เหมือนโรงภาพยนต์ทั่วๆไป อาจจมีจำนวนchannel 6-12channelsขึ้นอยู่กับขนาดของโรงภาพยนตร์ โดยพื้นฐานก็จะเป็น front left, center,right,surround และSub-bass ตามปกติ แต่ในบางโรงภาพยนตร์ที่มีขนาดใหญ่ๆหรือมีจอสูงมากๆก็อาจจะมีchannelเพิ่มเข้ามาอีกเพื่อความต่อเนื่องของเสียงเช่น center channel ที่อยู่สูงขึ้นไปหรือเรียกว่าThe Voice Of Godอีกchannelหนึ่ง ที่ต้องมีก็เพราะเนื่องจากว่าจอมันสูงหลายสิบเมตร ความต่อเนื่องในแนวVertical จะไม่มีถ้าไม่มีcenter heighตรงนี้ อย่างฉากที่จรวดกำลังทะยานจากฐานขึ้นไปสู่ท้องฟ้า เสียงมันก็จะต้องออกจากด้านล่างของจอภาพแล้วค่อยๆไล่ขึ้นไปขอบจอภาพเป็นต้น


ที่ทำเช่นนี้ได้ก็เพราะว่าหนังที่ฉายในระบบIMAX ทางผู้ผลิตหนังจะre-mixเสียงขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะเพื่อให้เข้ากับระบบของIMAX จะไม่เหมือนกับการmixสำหรับโรงหนังทั่วๆไป ในการmixเสียงสำหรับIMAX นั้นเขาจะทำที่มาตรฐานความดัง85dBc (C weighted) ซึ่งจะถือว่าค่อนข้างดังกว่าหนังทั่วๆไปที่อาจจอยู่ประมาณ 70-80 dBc ส่วนช่วงPeakโรงIMAX ก็จะทำได้ถึง 118dBc ทั้งนี้เพราะเขาแน่ใจว่าอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับโรงIMAX สามารถคุมความดังขนาดนี้ได้โดยไม่มีDistortion ทำให้sound engineer สามารถre-mix ให้เสียงเป็นไปตามต้องการได้มากขึ้นกว่าโรงทั่วๆไป ซึ่งเขาเรียกการmixสำหรับIMAXโดยเฉพาะนี้ว่าDigital Re-mastering (DMR)

บางท่านที่เคยสัมผัสเสียงในIMAX อาจจะคิดว่าความถี่ต่ำมันคงจะลึกมาก ความจริงแล้วความถี่ต่ำที่ในโรงIMAX จะอยู่ที่ 23Hz และroll offลงไปที่20Hz ที่-3dB โดยมาตรฐานหนังที่บันทึกมาปกติก็จะอยู่ที่ 20Hz-20kHz แต่การที่ทำให้เรารู้สึกว่าเสียงมันสนุก มัน เหมือนว่าเสียงเบสมันลึกมากกว่าปกติ ก็เพราะว่าโรงที่ได้มาตรฐานเหล่านี้เขามีDynamic Range ที่กว้างมากๆ noise floor จะต่ำ Head room จะสูง เพราะอุปกรณ์ถูกCustom made มาสำหรับห้องนั้นๆโดยเฉพาะ IMAX เขาผลิตลำโพง ผลิตPower Amplifier ผลิตSubwooferจากโรงงานของIMAXเอง ตามลักษณะห้องแต่ละห้องเลย อย่างAmplifierที่ใช้ก็จะมีขนาดตั้งแต่ 12000-20000วัตต์กันเลยทีเดียว ทำให้กำลังสำรองเพื่อขับลำโพงต่างๆมีhead room เหลือเฟือ วิศวกรIMAX เขาบอกว่าเขาไม่ได้ผลิตรถที่วิ่งได้ 60ไมล์ต่อชั่วโมง ให้วิ่งที่60ไมล์ต่อชั่วโมง แต่เขาผลิดรถที่วิงได้120ไมล์ต่อชั่วโมง เพื่อให้วิ่งที่60ไมล์ต่อชั่วโมง จะได้มีกำลังสำรองเหลือๆไว้สำหรับต้องเล่นในช่วงPeak และหมดปัญหาเรื่องDistortion


ลำโพงของIMAXจะเป็นfull range ทุกchannelแม้กระทั่งSurround โดยลำโพงจะถูกออกแบบเป็นพิเศษที่เรียกว่า Proportional Point Source Sound technology เพื่อเพิ่มsweet spot ไม่ให้อยู่แต่เฉพาะตรงกลางอย่างเดียว คนที่อยู่ใกล้ลำโพงกับไกลลำโพงก็ยังได้ยินเสียงใกล้เคียงกันเพราะเทคโนโลยีนี้ใช้การออกแบบปากHornของลำโพงให้ได้ตามที่ต้องการ


ลำโพงSurround ที่สงสัยว่าทำไมมีแค่สองตัว อันนี้เป็นความตั้งใจของIMAX ที่ต้องการให้ลำโพงสามารถทำให้เกิดPhantom Image วิ่งไปตามตำแหน่งต่างๆรอบๆห้องตามต้องการได้ ส่วนSubwooferที่ใช้เพื่อเป็นแหล่งกำเนิดเสียงความถี่ต่ำ ก็จะสร้างเสียงที่ให้ครบทั้ง powerful, fast, tight, deep และ clean ตามสไตล์ของโรงภาพยนตร์IMAXเลย


ในทุกวันก่อนการเปิดฉายหนัง ทางIMAXก็จะมีการCalibrateเสียงก่อนทุกครั้งเป็นเวลาร่วมชั่วโมง โดยการtuning เสียงในห้องก็จะใช้ระบบAudyssey ที่ออกแบบมาเฉพาะIMAX ทำการcustomised EQ curve ตามแบบของIMAX โดยเฉพาะ วิศวกรก็จะทำการปรับAcoustic วัดเสียงในห้องให้ได้ตามรูปแบบมาตรฐานทั้งFFT, RTA, Phase, Impulse response etc.แล้วก็จะมีไมค์ที่วางไว้ในตำแหน่งต่างๆของห้องเพื่อวัดลำโพงแต่ละตัวส่งข้อมูลไปยังToronto แบบReal time ซึ่งที่นั่นจะมีSuper-computerคอยตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์ทุกอย่าง โดยมีเจ้าหน้าที่ทำงานตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืน เพื่อที่จะmonitor โรงIMAX ทุกโรงในโลกให้ได้เสียงตามมาตรฐานเท่ากัน สมมติว่ามีdriverบางตัวเสีย ทางศูนย์ก็จะสามารถสั่งremote มาให้เพิ่มgainของdriverตัวอื่นๆได้ทันทีแล้วค่อยส่งช่างเทคนิคมาเปลี่ยนให้ภายหลัง เขาบอกว่าบางทีIMAX รู้ก่อนเจ้าของโรงหนังเสียอีกว่ามีอุปกรณ์เสีย ทั้งนี้เขาบอกว่าเพื่อให้ได้คุณภาพเสียงของIMAX ที่เหมือนกันทุกๆโรงทั่วโลก

คราวนี้ก็คงพอเห็นภาพกันบ้างนะครับว่าทำไมโรงIMAX ภาพและเสียงจึงต่างจากโรงภาพยนต์ทั่วไป ต่อไปก็เข้าเรื่องเสียทีว่าIMAX Enhancedคืออะไร ก็อย่างที่พอรู้กันว่าเป็นโปรแกรมใหม่ที่ร่วมมือกันระหว่างIMAX Corporation(NYSE: IMAX)และDTSเพื่อเสนออีกแนวทางหนึ่งของภาพและเสียงภายในบ้าน โดยจะมีทั้งผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมกับภาพยนตร์หรือสารคดีภาพระดับ 4K HDR ที่มีการre-masteredใหม่สำหรับโรงภาพยนตร์IMAX แล้วใช้เทคโนโลยีด้านเสียงของDTS เพื่อนำเทคโนโลยีนี้เข้ามาสู่ในบ้าน ทำให้ผู้บริโภคได้สัมผัสประสบการณ์immersive ทั้งภาพและเสียงภายในบ้านได้ใกล้เคียงกับที่ผู้กำกับหนัง หรือคนทำหนังตั้งใจสร้างขึ้นมาได้มากขึ้น(filmmaker intended)

มาถึงรายละเอียดในแต่ละส่วนที่ทางIMAX Enhancedแนะนำไว้ เริ่มจากด้านภาพก่อน ถ้าเป็นห้องที่ไม่สามารถควบคุมแสงได้ดีเช่นมีประตู หน้าต่างเยอะ หรือเป็นห้องนั่งเล่นที่ใช้ทำกิจกรรมของครอบครัวอย่างอื่นด้วย จอแสดงผลแนะนำเป็นจอทีวีแบบOLED หรือ LED โดยตำแหน่งจอภาพที่ดีก็ควรจะอยู่ระดับเดียวกับสายตา แต่ถ้าติดเรื่องตำแหน่งการวางจอภาพตรงบริเวณนี้ก็สามารถอะลุ่มอล่วยให้ติดขึ้นสูงกว่าระดับสายตาได้เล็กน้อย ส่วนระยะที่ครอบคลุมสายตาในแนวระนาบแนะนำไว้ที่กว้าง 40องศา หรือมากกว่า สิ่งที่ต้องระวังอีกอย่างหนึ่งสำหรับการใช้ทีวีเป็นจอแสดงภาพก็คือเรื่องของสิ่งแวดล้อมของแสง ไม่ควรมีแสงที่เป็นลักษณะส่องเข้าตรงๆยังจอภาพ แสงในสิ่งแวดล้อมควรจะเป็นแสงdiffuseที่สะท้อนจากสิ่งอื่นจะดีกว่า


สำหรับคนที่ต้องการได้อรรถรสการดูภาพที่ได้บรรยากาศimmersiveมากขึ้นเหมือนดูหนังในโรงภาพยนตร์IMAX การใช้โปรเจคเตอร์ก็จะเป็นทางเลือกที่ดี แต่สิ่งที่ต้องระวังคือเรื่องของแสงจากสิ่งแวดล้อมเพราะว่าโปรเจคเตอร์ห้องยิ่งมืดเท่าไร่ ภาพก็จะดีมากขึ้นเท่านั้น การเลือกพรม สีผนัง ล้วนแต่มีผลกระทบต่อcontrastของภาพ ห้องที่มีผนังแบบไม่สะท้อนและสีในโทนมืดมักจะให้ผลดีกว่า และห้องก็ต้องมีที่ว่างเพียงพอสำหรับติดจอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ รวมถึงสถานที่วาง ที่แขวนโปรเจคเตอร์ไว้ด้วย

จอภาพของโปรเจคเตอร์สามารถใช้ได้ทั้งจอติดถาวรแบบfix หรือจอแบบมอเตอร์เลื่อนขึ้นลงแล้วแต่ความสะดวกของเจ้าของห้อง รวมถึงขนาดความใหญ่ของจอภาพก็ต้องคำนึงถึงความชอบของเจ้าของห้องด้วย ส่วนระยะนั่งห่างก็คำนวณได้จากความสูงของจอภาพ หรือสามารถใช้โปรแกรมช่วยคำนวณขนาดจอภาพความสว่างของภาพที่มีอยู่ในinternetได้เช่นเดียวกัน จอที่ใช้แนะนำให้ใช้จอในอัตราส่วน 1.78:1 หรือใหญ่กว่าได้ถ้าต้องการ เกรนของจอภาพแนะนำไว้เป็น 1.3 แต่ถ้าจะใช้จอที่มีเกรนมากกว่านี้ก็ต้องคำนึงถึงตำแหน่งนั่งดูที่อยู่off-axisไปว่าสูญเสียความสว่างไปมากไหม เพราะจอที่เกรนสูงขึ้นบางทีเขาจะใช้เทคนิคในการfocusแสงให้มาอยู่ตรงon-axis ทำให้ตำแหน่งนั่งดูที่อยู่off-axisมืดลง และสิ่งที่แนะนำในการติดตั้งโปรเจคเตอร์อีกอย่างก็คือการใช้Functionปรับแก้keystoneที่มีอยู่ในเครื่องโปรเจคเตอร์ทั้งแนวดิ่งและแนวระนาบ เพราะการปรับค่าในfunctionนี้จะเป็นการซูมภาพในบางส่วนทำให้ภาพที่ออกมาไม่ใช่เป็นpixel by pixel ทำให้ความคมชัดของภาพลดลงไป ดังนั้นการพยายามติดตั้งให้โปรเจคเตอร์อยู่กลางจอให้ได้มากที่สุด แต่ถ้าภาพออกมามีเป็นสี่เหลี่ยมคางหมูบ้างก็ไม่เป็นไรปล่อยไว้ได้เลยจะให้ผลที่ดีกว่า

ต่อมาก็เป็นเรื่องของAV Receivers และ Processors ใครที่ต้องการให้ได้สัมผัสเสียงimmersiveมากยิ่งขึ้นก็คงต้องใช้เครื่องแบบนี้ร่วมกับลำโพงที่วางไว้ทั้งในระดับแนวราบ และแนวดิ่ง ยิ่งถ้าได้ทำในห้องที่สร้างมาเฉพาะเพื่อเป็นDedicated theaterด้วยแล้วก็จะเหมาะมาก เพราะห้องเหล่านี้จะมีการออกแบบที่คำนึงถึง ขนาดสัดส่วนห้อง วัสดุที่ทำผนัง พื้น เพดานและตำแหน่งที่เหมาะสมของวัสดุที่ใช้ทำต่างๆ เพื่อให้ได้ห้องที่ใช้เป็นห้องhome theaterเป็นวัตถุประสงค์หลัก สำหรับตำแหน่งการวางลำโพงเพื่อที่จะกำหนดconfigurationในเครื่อง AV Receivers หรือ ProcessorsของIMAX Enhanced ตอนนี้ที่แจ้งไว้มีอยู่สามแบบคือ 5.1.4 ซึ่งเป็นแบบเริ่มต้นมีการวางตำแหน่งลำโพงแนวระนาบอยู่5channels ลำโพงในแนวดิ่งหรือceiling channelsอีกสี่ตัว และใช้Subwoofer 1ตัว นอกจากนี้ทางIMAX Enhancedก็ได้แนะนำข้อพิจารณาเพิ่มเติมถึงเรื่องของขนาดสัดส่วนของห้อง วัสดุที่ใช้ทำผนังว่าเป็นแบบไหนกันบ้าง ความสูงของเพดานและวัสดุที่ใช้ทำเพดาน แข็งแรงพอไหม รวมถึงชนิดของพื้น และมีอะไรปิดพื้นเพิ่มเติมไหม ส่วนถ้าใครต้องการให้เสียงเบสมีพลัง มีimpactมากขึ้นเขาก็แนะนำให้ใช้เป็นระบบ 5.2.4 ซึ่งการใช้subwoofer 2ตัวก็ทำให้การวางsubwooferสามารถวางแล้วลดความรุนแรงของroom modeภายในห้องได้ แต่ก็ต้องระวังเพิ่มมากขึ้นในเรื่องของโครงสร้างของห้อง ระบบไฟฟ้า ระบบHVAC(Heating, Ventilation, Air Conditioning) และที่สำคัญในเรื่องของการสั่นและการกั้นเสียงออก(Vibration/Isolation) นอกจากนี้ถ้าใครต้องการเป็นระบบFull IMAX Experienceก็แนะนำให้ทำเป็น 7.2.4ไปเลย จะเป็นconfigurationสูงสุดของIMAX Enhancedที่รองรับได้ในตอนนี้ โดยลำโพงfront height speakerจะอยู่ที่ 30-55องศา ส่วนลำโพงrear height ก็จะอยู่ที่ 125-150องศาจากตำแหน่งนั่งฟัง ซึ่งถ้าจำได้มันก็คือค่าเดียวกับลำโพงเพดานของระบบdolby atmosนั่นเอง แบบนี้ก็แสดงว่าใครที่เคยติดตั้งลำโพงในระบบdolby atmosแบบ 7.2.4 ก็สามารถใช้ตำแหน่งลำโพงเดิมได้เลยถ้าต้องการเล่นระบบIMAX Enhanced



ลำโพงmainที่จะนำมาใช้ในIMAX Enhancedแนะนำให้เลือกลำโพงที่มีการกระจายเสียงที่กว้างเพื่อเพิ่มตำแหน่งsweet spots ความเร็วของลำโพง(sensitivity)อย่างน้อยก็ประมาณซัก 89dB สามารถตอบสนองความถี่ต่ำถึง70Hzหรือน้อยกว่า ลำโพงทุกตัวมีโทนเสียงที่เข้ากัน(tone/timbre matched) เพื่อให้เวลาแพนเสียงมีความsmooth ต่อเนื่อง ส่วนลำโพงSubwooferแนะนำไว้อย่างน้อยสองตัว และต้องหาตำแหน่งวางเพื่อถูกต้องจะได้ช่วยลดการเกิดการหักล้างของคลื่นความถี่ต่ำภายในห้องเนื่องจากstanding wave(minimize nulls) และถ้าจะให้ดีsubwooferควรจะต้องลงลึกได้ถึง 20Hz


การใช้ลำโพงแบบยิงขึ้นเพดานเพื่อให้เสียงสะท้อนลงมาสร้างบรรยากาศเหมือนลำโพงเพดานหรือที่เรียกกันทั่วไปว่าUp-firing speakerก็สามารถใช้ได้ในระบบIMAX Enhancedเช่นกัน แต่ต้องระวังนิดหนึ่งว่าเพดานควรจะเป็นเพดานแบบเรียบ และไม่ควรมีความสูงเกิน 10ฟุต เพื่อไม่ให้มีปัญหาการสะท้อนของเสียง ส่วนการใช้Soundbarก็จะมีการสนับสนุนในอนาคตอันใกล้ ซึ่งการใช้Soundbarนี้ก็จะเหมาะสำหรับห้องที่วางลำโพงแบบเต็มระบบได้ยาก ทั้งจากขนาดห้อง งบประมาณที่จำกัด หรือเป็นห้องพ่วงห้องที่ใช้ระบบใหญ่อยู่แล้ว เหล่านี้การใช้ลำโพงแบบSoundbarก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่ง


ในตอนนี้มีหลายบริษัทที่ให้การสนับสนุนIMAX Enhanced บริษัทที่ผลิตอุปกรณ์ก็ได้แก่ SONY DENON Marantz รวมถึงStudioชื่อดังอย่าง Sony Pictures และ Paramount ก็ประกาศออกมาว่าให้การสนับสนุนIMAX Enhancedแล้ว โดยSonyหัวเรือใหญ่และเป็นเจ้าใหญ่ของทั้งทีวีและโปรเจคเตอร์ก็ได้ประกาศรุ่นของทีวีและโปรเจคเตอร์ที่สนับสนุน IMAX Enhancedออกมาแล้วได้แก่
Announced Hardware: IMAX Enhanced TVs |
Sony MASTER Series A9F OLED |
Sony MASTER Series Z9F LED |
Sony A8F OLED (2017 model) |
Sony A1E OLED (2017 model) |
Sony X900F LED (2017 model) |
Sony VPL-VW995ES projector |
Sony VPL-VW695ES projector |
Sony VPL-VW295ES projector |
Sony VPL-VW285ES projector (2017 model) |
Sony VPL-VW385ES projector (2017 model) |
Sony VPL-VW675ES projector (2017 model) |
Sony VPL-VW885ES projector (2017 model) |
Sony VPL-VZ1000ES projector (2017 model) |
Sony VPL-VW5000ES projector (2017 model) |
ส่วนเครื่อง AV Receivers และ Processors ที่สนับสนุนก็ได้แก่
Announced Hardware: IMAX Enhanced AVRs |
Denon AVR-X8500H (already available; firmware update for full certification due in October) |
Denon AVR-X6500H (October) |
Denon AVR-X4500H (October) |
Marantz AV8805 (already available; firmware update for full certification due in October) |
Marantz AV7705 (October) |
Marantz SR8012 (October) |
Marantz SR7013 (October) |
Marantz SR6013 (October) |

ส่วนทางด้านแผ่นหนังIMAX Enhanced ณ.ขณะที่ผมเขียนต้นฉบับนี้(ตุลาคม2561)ยังไม่มีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ มีแต่กำหนดการเปิดตัวแผ่นสารคดีUltra HD Blu-rayสองแผ่นแรกออกมาในวันที่ 11ธันวาคม2561นี้ ซึ่งจะเป็นสารคดีธรรมชาติเรื่องA Beautiful Planetและ Journey to the South Pacific เป็นสารคดีของIMAXแท้ นอกจากจะเป็นแผ่นIMAX Enhancedสองแผ่นแรกแล้ว ก็ยังเป็นสองแผ่นแรกที่ใช้ระบบภาพแบบ HDR10+ อีกด้วย

ช่วงนี้ก็คงจะมีข่าวคราวที่updateเกี่ยวข้องกับIMAX Enhancedออกมาอยู่เรื่อยๆ ก่อนที่จะเข้ามาสู่ในบ้านผู้บริโภคอย่างจริงๆ แต่ระบบนี้จะดีไหม จะสู้กับระบบอื่นได้ไหม ก็คงต้องติดตามกันต่อไป ยังไงถ้ามีอะไรใหม่ๆน่าสนใจเกี่ยวกับIMAX Enhanced ผมก็จะเอามาให้ได้อ่านกันอีกเรื่อยๆครับ Stay Tune!