ผมเคยทดสอบultra short throwโปรเจคเตอร์หรือที่บางคนเรียกว่าlaser TVมาหลายตัว ต้องบอกว่าในปัจจุบันultra short throwโปรเจคเตอร์มีการพัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็วมาก จากเดิมใช้เฉพาะในบ้านที่มีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่จึงจำเป็นต้องใช้โปรเจคเตอร์แบบนี้ แต่ในปัจจุบันหลายคนมีพื้นที่แต่ก็ใช้ เนื่องจากคุณภาพของภาพที่ออกมานั้นไม่ได้ด้อยกว่าโปรเจคเตอร์แบบstandard throwแต่อย่างใด วันนี้เราลองมาดูโปรเจคเตอร์ultra short throwตัวที่กำลังร้อนแรงในตลาดที่ใครๆต่างก็พูดถึง ซึ่งได้แก่Formovie Theaterอย่างในต่างประเทศก็เอาโปรเจคเตอร์Formovieไปทำshoot-outกับโปรเจคเตอร์ตัวอื่นปรากฏว่ามีคนvoteให้ชนะในหลายเรื่อง หรือในบ้านเราห้องhome theaterหลายห้องเมื่อลองเอาโปรเจคเตอร์ตัวนี้ไปเทียบกับตัวเดิมที่ใช้อยู่แบบside by side ปรากฏว่าโปรเจคเตอร์ตัวเดิมจำเป็นต้องขายออกไปก็หลายห้อง จนผมได้รับคำถามมาเยอะมากจากนักเล่นว่าโปรเจคเตอร์ตัวนี้ดีจริงอย่างคำล่ำลือไหม หรือว่าเป็นเพราะเน้นการโฆษณา ว่าแล้ว…มาติดตามหาความจริงกัน

คุณลักษณะทั่วไปของFormovie Theaterตามspecที่แจ้งมา ก็เป็นโปรเจคเตอร์ความละเอียดระดับ 4K UHD ใช้เทคโนโลยีกำเนิดภาพDLPจากชิป DMD ขนาด0.47นิ้ว แหล่งกำเนิดใช้แสงเลเซอร์แบบ Triple color laser light source ให้แสงสว่างสูง 2,800ANSI lumens สามารถสร้างขอบเขตสีของภาพได้สูงถึง 107%ของ BT.2020 รองรับระบบภาพและสียงได้ทั้งDolby Vision, Dolby Atmos มีลำโพงbuilt inของBowers & Wilkins 2ตัวและtweetersอีก2ตัว ให้พลังงานรวม 30watts ระบบปฏิบัติการที่ใช้เป็นแบบAndroidTV 11.0 ราคาตั้งอยู่ที่ 109,900บาท

ถ้าพูดถึงรูปร่างเมื่อเทียบกับultra short throwตัวอื่นจะดูเล็กกว่า ขนาดของเครื่องอยู่ที่ 55×34.9เซนติเมตร สูง10.8เซนติเมตร น้ำหนัก 9.8กิโลกรัม

ด้านข้างของเครื่องจะเป็นช่องระบายอากาศพัดลม และลำโพงtweetersทั้งสองข้าง ส่วนด้านล่างจะเป็นปุ่มหมุนเพื่อเพิ่มความสูงของขาตั้งด้านหน้า

ช่องเชื่อมต่อทางด้านหลังเครื่องจะมีช่องHDMI 2.1สามช่อง โดยช่องที่สามรองรับeARC ถัดไปจะเป็นช่องUSB 2.0 สองช่อง, ช่องเสียงออกAudio outแบบแจ็ค 0.35mm หนึ่งช่อง, ช่องเสียงOptical และช่องต่อLAN ด้านล่างก็จะเป็นช่องต่อสายไฟ

รีโมทก็จะเป็นลักษณะเหมือนรีโมทควบคุมAndroid TVทั่วไป ที่ไม่ชอบอย่างหนึ่งสำหรับผมก็คือปุ่มSetup ที่เป็นรูปเกียร์จะอยู่ใต้ปุ่มPowerพอดี ทำให้เวลาที่ต้องsetupเครื่องในห้องมืด กดผิดไปปิดเครื่องประจำ ถ้าเป็นการดูปกติก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรเพราะเครื่องเปิดปิดได้รวดเร็วมาก แต่ว่าเวลาsetupเพื่อวัดค่าต่างๆนั้นการเปิดปิดเครื่องแต่ละทีนั้นต้องรอให้เครื่องและหลอดภาพอยู่ตัวก่อนถึงจะวัดค่าได้ ทำให้เสียเวลาตรงนี้เป็นประจำ

โปรเจคเตอร์Formovie Theaterสามารถฉายบนจอภาพได้ใหญ่ 150นิ้ว การติดตั้งก็ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่วางโปรเจคเตอร์ไว้ด้านหน้าจอภาพให้ห่างตามที่แนะนำไว้ ปรับความสูงของจอภาพให้ขนาดภาพพอดีกับจอ แล้วก็ทำการปรับkeystoneหรือการแก้สี่เหลี่ยมคางหมูของภาพให้ออกมาเป็นสี่เหลี่ยมมุมฉาก เสร็จแล้วก็ทำการปรับfocusของภาพ เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อย

อย่างในห้องของผมจะฉายบนจอตั้งพื้นที่เลื่อนขึ้นอัตโนมัติขนาด120นิ้ว ก็วางโปรเจคเตอร์ห่างจอภาพ 33เซนติเมตร เมื่อปรับจอภาพขึ้นจนสุดแล้วภาพยังไม่เต็มจอก็หาขาตั้งรองจอภาพให้สูงขึ้นมาอีกประมาณห้าเซ็นติเมตรภาพก็ออกมาเต็มจอพอดี เสร็จแล้วก็ทำการปรับkeystoneและfocus สำหรับการปรับfocus ตอนแรกที่ลองปรับfocusนั้นดูยากมากว่าภาพมันfocusหรือยัง เนื่องจากตัวเครื่องจะทำการปรับauto focusมาแล้วระดับหนึ่ง การปรับตรงนี้จะเหมือนเป็นการปรับเพื่อfine tuneมากกว่า จึงทำให้เห็นความแตกต่างน้อย ผมแนะนำให้ใช้การดูใกล้ๆบริเวณอักษรคำว่าfocus ด้านบนทั้งซ้ายและขวาของจอเป็นจุดสังเกต จะทำให้ง่ายกว่า และควรจะทำการปรับfocusหลังจากrunเครื่องไปแล้วประมาณครึ่งชั่วโมงจะทำให้เห็นความแตกต่างของการปรับได้ง่ายมากขึ้นเพราะภาพของโปรเจคเตอร์ตัวนี้จะมีความคมชัดมากขึ้นหลังจากเปิดเครื่องไปแล้วประมาณ20-30นาที

ขอพูดถึงเรื่องของจอภาพที่ใช้สำหรับโปรเจคเตอร์ultra short throwซักหน่อยเนื่องจากว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญและมีผลต่อความสว่างและคุณภาพของภาพที่ออกมามากทีเดียว อย่างในตอนแรกที่ผมได้รับการติดต่อเพื่อทดสอบโปรเจคเตอร์ตัวนี้ คุณเอกซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายได้สอบถามถึงจอภาพที่ผมใช้อยู่ พอได้รู้ว่าเป็นจอสีเทาที่ใช้ในการดูภาพจากstandard throwโปรเจคเตอร์ คุณเอกก็ได้ส่งจอภาพมาให้ทดสอบร่วมกับโปรเจคเตอร์Formovie Theaterมาด้วยอีกสองแบบ เนื่องจากจอภาพที่ผมใช้อยู่เหมาะกับภาพจากstandard throwไม่เหมาะกับโปรเจคเตอร์แบบultra short throw โดยจอที่ส่งมาจะเป็นจอแบบwhiteธรรมดา และจอภาพตัดแสงรอบข้างที่เรียกว่าALR(ambient light rejection screen)ของแบรนด์Vividstorm

โดยตอนแรกผมก็คิดว่าโปรเจคเตอร์สว่างขนาด 2800ANSI lumens ความสว่างก็คงเหลือๆมั้งไม่น่ามีปัญหาอะไร ผมก็เลยลองเอาFormovie ฉายไปยังจอที่ใช้อยู่ที่ห้อง แล้ววัดแสงโดยใช้อุปกรณ์ชุดที่ใช้ทดสอบประจำได้แก่Spectrophotometer ของJetiรุ่นspectraval 1511, Colorimeter ของKlein รุ่นK-10A ใช้Murideo Seven-G 8Kเป็นPattern Generator โปรแกรมที่ใช้ทดสอบเป็น CalMAN Ultimateจากportrait displays ผลที่ได้ออกมาตกใจเลยครับ เพราะวัดความสว่างออกมาได้แค่5fL ในUser mode

คราวนี้ลองมาดูกับจอภาพแบบwhiteของVividstormดูบ้าง ความจริงแค่เปิดออกมาก็เห็นถึงความสว่าง ความสดใสของสีสันในภาพที่ดีมากขึ้นแล้ว โดยเมื่อวัดความสว่างออกมาในuser modeเดิมพบว่าความสว่างวัดได้ถึง 24.7fL แต่เดี๋ยวก่อน โปรเจคเตอร์ตัวนี้ภาพที่สว่างที่สุดจะอยู่ในHDR modeไม่ได้อยู่ในSDR mode โดยเมื่อวัดค่าในHDRในmodeต่างๆก็จะได้ค่าความสว่างสูงขึ้นไปอีก โดยUser ในHDR modeวัดได้29.6fL, Standard=22.8fL, Vivid=23.2fL, Sport=23.2fL, Movie=16.8, Game=20.6fL และChild modeวัดได้20fL

คราวนี้มาถึงจอALRของทางVividstormกันบ้าง โดยปกติก็จะรู้กันอยู่แล้วว่าจอALRนั้นจะลดเกนของจอภาพลงทำให้ภาพลดความสว่างลงบ้าง แล้วแต่ประเภทหรือชนิดของจอแบบนั้นๆ อย่างจอALRบางแบบนั้นลดเกนลงไปถึงครึ่งหนึ่งเลยก็มี แต่เมื่อลองวัดจอALRของVividstormก็พบว่าความสว่างเมื่อเทียบกับจอwhiteธรรมดาจะลดลงไปนิดหน่อยอย่างUser HDR modeก็วัดได้ประมาณ 20.8fL, Standard HDR modeก็จะวัดได้ประมาณ 16fL ส่วนmodeอื่นๆก็ลดลงในอัตราส่วนใกล้เคียงกัน แต่สิ่งหนึ่งที่จอALRจะได้เปรียบกับจอwhiteก็คือเรื่องของการตัดแสงรอบข้างทำให้ภาพยังมีcontrastและภาพยังดีอยู่แม้จะมีแสงรอบข้างรบกวน อย่างภาพที่เห็น ด้านหน้าจะเป็นจอALR ด้านหลังจะเป็นจอwhite จะเห็นได้ว่าเมื่อเปิดไฟดาวน์ไลท์ถึงแม้จอwhiteจะสว่างกว่าแต่contrastหรือความดำของภาพนั้น จอALRยังคงcontrastที่ดี ไม่ถูกแสงจากไฟมารบกวน ส่วนจอwhiteที่อยู่ข้างหลังนั้นภาพออกเหลืองตามไฟดาวน์ไลท์และcontrastของภาพก็ถูกwash outไป

หรืออย่างในภาพนี้ผมได้เปิดทั้งไฟดาวน์ไลท์และเปิดประตูห้องให้แสงธรรมชาติเข้ามาด้วย จะเห็นได้ว่าภาพของจอwhiteมีสีที่เพี้ยนไปและความดำ contrastของภาพก็จะสู้จอแบบALRไม่ได้ ดังนั้นในเรื่องของจอภาพที่จะใช้กับโปรเจคเตอร์Formovie theaterนั้น ถ้าใครที่มีจอภาพwhiteแบบธรรมดาที่ไม่ได้เป็นจอALRและแสงในห้องสามารถควบคุมได้ก็ยังสามารถใช้จอwhiteแบบเดิมได้ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนจอ แต่ถ้าใครต้องเอาไปใช้ในสถานการณ์ที่คุมแสงได้ยากก็ควรจะต้องใช้จอแบบALRที่ออกแบบสำหรับUltra short throwโปรเจคเตอร์จะดีกว่า สำหรับราคาจอALRแบบmotorized ของVividstorm ขนาด120นิ้วจะอยู่ที่ 72,900บาท แต่ถ้าเป็นจอwhiteแบบmotorized ของVividstorm ขนาด120นิ้วตัวเดียวกับที่ผมทดสอบนี้ราคาจะอยู่ที่ 30,900บาท

ติดตั้งวัดค่าเบื้องต้นต่างๆเรียบร้อย สิ่งแรกที่ผมอยากรู้ก็คือSPD(Spectral Power Distribution) ของโปรเจคเตอร์ตัวนี้จะเป็นอย่างไรเพราะในspecบอกว่าเป็นtriple laser light sourceที่มีการใช้เทคโนโลยีALDP(Advanced Laser Phosphor Display)4.0 RGB+ซึ่งเป็นfluorescent laser technologyตัวที่ล้ำสมัยสุดในตอนนี้ และเมื่อวัดค่าออกมาก็พบว่าSPDต่างจากเครื่องเลเซอร์โปรเจคเตอร์แบบเทคโนโลยีอื่นจริง โดยมีความเข้มของแม่สี RGB สูงขึ้นอย่างชัดเจน นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมโปรเจคเตอร์Formovie Theaterตัวนี้สามารถทำความกว้างของเฉดสีได้ในระดับ Rec.2020 และสร้างสีสันต่างๆได้มากถึง 1.07พันล้านสี ทั้งยังให้contrastของภาพสูงเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีlaser DLPทั่วไป

สำหรับในเรื่องของBT.2020 Gamut Coverageที่specบอกว่าครอบคลุมสีได้ถึง 107% แต่ผมวัดจากหน้าจอจริงหลังจากcalibrateแล้วพบว่าได้ 87.85% ทั้งนี้คงเพราะบางสีอาจจะเกินBT.2020ไปเยอะเช่นสีน้ำเงิน แต่บางสีอาจจะไม่ถึงเช่นสีเขียว สีฟ้าอ่อน และเมื่อทำการcalibrateเพื่อเอาสีที่ใช้อยู่ในขอบเขตสีBT.2020จริงค่าก็จะลดลงไปเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ค่าสูงระดับ88% ของRec.2020นี้ก็ถือได้ว่าสูงสุดในโปรเจคเตอร์classนี้แล้ว ส่วนInput Lagผมใช้4K HDMI Video Signal Lag TesterของLeo Bodnarวัดที่ 3840x2160pixelที่60p ในโหมดทั่วไปจะวัดได้ 145ms แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นGame Modeค่าInput Lagจะลดลงเหลือประมาณ 40ms

เมนูในการปรับภาพทั้งgrayscaleและcolor gamutมีมาให้ละเอียดดี อย่างgrayscaleนอกจากจะสามารถปรับทั้งในส่วนเมนูColor TemperatureและColor Tunerแล้ว ก็ยังสามารถปรับละเอียดแบบ11 Point White Balance Correctionได้อีกด้วย ซึ่งรายละเอียดการปรับค่าต่างๆในการcalibrate และผลลัทธ์ที่ได้จากการcalibrateเมื่อเทียบกับค่าตั้งต้นของเครื่องสามารถดูได้จากกราฟในรูปได้เลย โดยในรูปนี้จะเป็นผลจากการปรับค่าภาพแบบ SDR Rec.709 ในUser mode ที่เลือกใช้การปรับในUserโหมดนี้ก็เนื่องจากสามารถปรับค่าได้หลากหลายและโหมดนี้ให้ค่าความสว่างสูงสุดเมื่อเทียบกับโหมดอื่นๆ

ส่วนภาพนี้ก็จะเป็นผลการปรับภาพแบบHDR Rec.2020 ในUser(HDR10)modeเทียบกับภาพตั้งต้นของเครื่อง จะเห็นว่าโปรเจคเตอร์ถ้ายังไม่ได้มีการcalibrate ภาพจะออกสีฟ้ามากกว่าสีอื่นๆ ทั้งนี้ก็เป็นธรรมดาเนื่องจากสีฟ้าเป็นสีที่สู้แสงและให้ความสว่างของภาพมากกว่าสีอื่น การดูก็ทำให้คนชอบได้มากกว่าเนื่องจากดูแล้วรู้สึกเย็นสบายตาดี แต่ความจริงแล้วสีขาวที่ถูกต้องและใช้เป็นมาตรฐานในห้องmasteringจะใช้สีขาวที่จุดD65ซึ่งจะมีความสมดุลของสีRGBเท่ากันตั้งแต่ความสว่าง 0-100% ซึ่งบางคนถ้าไม่ค่อยได้ดูภาพจากจอที่calibrateภาพบ่อยๆก็อาจจะไม่คุ้น แต่ถ้าใครใช้จอที่ได้ปรับภาพอย่างถูกต้องตลอดแล้ว ก็จะรู้ได้เลยว่าภาพที่ปรับแล้วจะให้ความสวยงามและดูหนังได้อารมณ์ตรงตามที่คนทำหนังสร้างมาได้ดีกว่าภาพที่ยังไม่ได้calibrateอย่างมากมาย

ปรับภาพเสร็จได้เวลามานั่งดูของจริงกัน เริ่มจากเสียงต้องถือว่าลำโพงBowers & Wilkinsที่ให้มา30 wattsนั้นให้เสียงที่ดี และมีความดังที่ไม่ได้น้อยหน้าsoundbarแต่อย่างไรเลย อย่างลำโพงในโปรเจคเตอร์ตัวอื่นที่ผมเคยเจอมา บางทีถ้าต้องการความดังให้พอดูหนังฟังเพลงได้นี่ต้องเปิดvolumeไปถึง70-80% แต่Formovie ผมเปิดประมาณ20-30% เสียงก็ดังเต็มห้อง แถมยังให้รายละเอียด ความโอบล้อมเสียงDolby Atmosที่กว้างขวาง ถึงแม้อาจจะไม่สู้แบบที่มีลำโพงอยู่ล้อมรอบตัวจริง แต่ผมว่าการดูในระดับทั่วไปไม่ได้seriousมาก แค่นี้ก็ทำให้ฟังเพลงได้ไพเราะ ดูหนังก็สนุกตื่นเต้นแล้ว

สำหรับในเรื่องของภาพก็ตามค่าที่วัดได้ ภาพของโปรเจคเตอร์Formovie Theaterจะให้ความสว่างและสีสันของภาพภาพดีที่สุดในUser(HDR10) mode เด่นสุดคงเป็นเรื่องของความสว่างกับสีสันที่ทำออกมาได้สุดมาก ความคมชัดของภาพถึงแม้จะเป็น4-way e-Shift แต่หลายคนที่เคยเทียบside by sideกับโปรเจคเตอร์ที่เป็นnative 4Kคงจะเห็นแล้วว่าe-Shift ในปัจจุบันไม่ได้ด้อยกว่าเลย เหล่านี้ล้วนมาจากประสิทธิภาพของTri-color laser light engineและชิป DMDที่ให้ทั้งความเข้มข้นของสี ความสว่าง และความคมชัดเนื่องจากใช้หลักการสะท้อนแสงของกระจก แถมชิปแบบนี้ค่าสีต่างๆจะไม่เสื่อมลงเร็วเหมือนกับเทคโนโลยีอื่นด้วย ทำให้ใช้ดูได้อย่างยาวนานโดยยังคงคุณภาพของสี คุณภาพของภาพที่ดีอยู่



ต้องบอกว่าภาพของFormovie theaterให้ภาพที่สวยสมคำล่ำลือจริงๆ อย่างเรื่องความดำหรือcontrastของภาพที่มักจะเป็นข้อด้วยของเทคโนโลยีDLPเสมอมา แต่พักหลังมานี้ผมเห็นโปรเจคเตอร์DLPตัวใหม่ๆออกมา contrastของภาพนั้นพัฒนาแบบก้าวกระโดดจากเดิมไปมาก ภาพให้ความดำที่ดีขึ้นไม่เป็นลักษณะแบบฝ้าขาวๆเหมือนเดิมแล้ว ดำเป็นดำจริง มิติของภาพทำได้อย่างเนียนตาและมีการไล่grayscaleอย่างsmoothและเที่ยงตรง ถึงแม้Specของบริษัทจะบอกมาว่าcontrastเครื่องจะอยู่ที่ 3,000:1 Full on/Full offเท่านั้น ยังไงอย่าเชื่อspecมากครับสำหรับcontrastเพราะวิธีการหาค่าcontrastนั้นแต่ละแบบแต่ละวิธีของแต่ละบริษัทจะแตกต่างกันมาก ค่าที่ออกมาก็ออกมาต่างกันมาก เพราะผมเคยเห็นภาพของโปรเจคเตอร์ระดับตัวTopของวงการแต่เขาบอกค่าcontrastจากโรงงานแค่1,500:1 ปรากฏภาพออกมาcontrastดีมาก ผมว่าcontrastยังไงคงต้องลองดูภาพจริงประกอบด้วยครับอย่าตัดสินแต่ค่าตัวเลขspecอย่างเดียว



ความคมชัดของภาพไม่เสียชื่อชิปDMDที่เด่นในเรื่องรายละเอียด ความคมของภาพที่ดูเป็นธรรมชาติ



ภาพจากภาพยนตร์ก็ยังให้ความสวยงามของภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโหมดUser(HDR10)ที่ปรับแล้ว โปรเจคเตอร์สว่างแบบมีcontrastจะได้เปรียบตรงนี้นี่เอง ภาพดูมีพลัง สีสันดุดันไม่เกรงใจใคร เหมือนกับรถที่มีแรงสูงเอามาขับแบบปกติพลังงานเลยเหลือๆ ทำให้นึกถึงคำพูดของMichael Bayผู้กำกับชื่อดังที่บอกไว้เลยว่าสำหรับโปรเจคเตอร์แล้ว “Brightness is key”


ภาพเคลื่อนไหวก็จะมีฟังก์ชันMEMC(Motion estimate and motion compensation) มีให้เลือกได้หลายระดับ เพื่อเพิ่มความลื่นไหลและความคมชัดของภาพขณะวัตถุเคลื่อนไหว ผมใช้แค่ที่ระดับLowก็เห็นผลแล้วว่าภาพมีความชัดเจน มีความsmoothมากขึ้น ส่วนถ้าตั้งไว้ที่mediumหรือhighก็อาจจะเหมาะสำหรับการดูกีฬาหรือcontentในทีวี เพราะถ้าเลือกไว้สูงการดูหนังจะลื่นเกินไป เหมือนเป็นวิดีโอมากกว่าดูภาพยนตร์ หรือที่ฝรั่งเขาเรียกว่า “Soap Opera Effect”

แต่กับภาพDolby Visionที่โปรเจคเตอร์ตัวนี้รองรับเป็นตัวแรกของโปรเจคเตอร์ที่ใช้ในบ้าน ปรากฏว่าภาพที่ออกมากลับดูทึมมืดไม่สวยเหมือนภาพจากHDR10 เมื่อลองเอาmeterมาวัดความสว่างสูงสุดในโหมดDolby Vision ก็วัดได้แค่ 10.7fLเท่านั้น

แนะนำว่าถ้าใครจะดูหนังที่เป็นDolby Visionกับโปรเจคเตอร์ตัวนี้ควรจะไปปรับเครื่องเล่นให้ปล่อยภาพออกมาเป็นHDR10ก็พอไม่ต้องปล่อยภาพDolby Vision เพื่อจะให้Formovieไปใช้โหมดHDR10ของเครื่องแทน ภาพจะได้มีความสว่างสดใสของภาพมากกว่า หรือว่าถ้าใครยังอยากจะดูภาพDolby Visionอยู่ ก็สามารถใช้เครื่อง HD FURYส่งภาพLow Latency Dolby Vision(LLDV)ไปที่Formovieก็ได้เช่นกัน ใครสนใจในรายละเอียดก็สามารถกลับไปอ่านเรื่องนี้ที่ผมเคยเขียนไว้ได้ครับ https://moraekhometheater.com/home/review/2021/low-latency-dolby-vision/

พอเปลี่ยนมาเป็นLLDVแล้วใช้เป็นโหมดUser(HDR10)ของเครื่องFormovie ภาพที่ออกมามีความสว่าง มีสีสันเข้มข้นสวยงามมากกว่าโหมดDolby Visionมาก อย่างในหนังTop Gun Maverickฉากที่เครื่องบินกำลังทำMach 10แล้ววิ่งบนท้องฟ้านั้น ลำแสงของเครื่องบินที่บินผ่านเมฆดูมีความสว่างโดดเด่น สวยงามน่าติดตาม ดูแล้วเร้าอารมณ์ดีมาก

ลองเอาเครื่องมาเปิดในห้องที่มีแสงสว่างมากกับจอALRของVividstormดูบ้าง ภาพก็ยังทำความสว่างสู้แสงได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าเป็นบริเวณที่เจอแสงตรงๆโดยเฉพาะแสงด้านข้าง ภาพบริเวณนี้contrastก็จะถูกwash outลดลงไป แต่สำหรับแสงจากด้านบนเช่นแสงจากหลอดไฟจอตัดแสงจะตัดแสงแบบนี้ได้ดีกว่าด้านข้างอย่างเห็นได้ชัด

ถ้าใครมีแสงตรงๆจากหน้าต่างแบบนี้ผมว่าเพียงแค่หาม่านมาติด ภาพที่ออกมาก็จะดีขึ้นมาก

แต่เนื่องจากFormovie Theaterเป็นโปรเจคเตอร์แบบultra short throwยังไงก็ยังมีข้อจำกัดที่เป็นพื้นฐานของโปรเจคเตอร์แบบนี้อยู่ ทั้งในเรื่องของความคมชัด ความสว่างที่ไม่เท่ากันทั่วทั้งจอ สีตามขอบๆของจอที่ยังเกลี่ยไม่เท่ากันบ้าง การไล่สีในระดับBt.2020ก็ยังไม่ถึงขนาดlinearแบบเป๊ะทุกตำแหน่ง แต่อาการเหล่านี้ถ้าการดูในระดับปกติทั่วไปจะสังเกตแทบไม่เห็น ต้องเอาmeterเข้าไปจับหรือต้องเข้าไปเพ่งดูใกล้ๆจอถึงจะเห็นความผิดปกติเหล่านี้

สรุปแล้วสำหรับโปรเจคเตอร์Formovie Theater ผมว่าเป็นultra short throwโปรเจคเตอร์ที่มีคุณสมบัติในด้านต่างๆเกินค่าตัวไปเยอะทั้งในเรื่องของ Triple color laser light source ที่ทำให้ภาพออกมาสว่าง สีสันเข้มข้น ครอบคลุมพื้นที่สีได้กว้าง ให้contrastของภาพที่ดีมีความดำของภาพลึกกว่าโปรเจคเตอร์DLPโดยทั่วไป มีลำโพงจากBowers & Wilkinsที่ให้ทั้งคุณภาพและพลังเสียง สามารถรองรับทั้งระบบDolby VisionและDolby Atmos ภาพในระบบHDR10มีความโดดเด่นมาก ซึ่งถ้าได้ติดตั้งกับสิ่งแวดล้อมที่ดี ใช้จอที่มีความเหมาะสม รับรองว่าใครได้เห็นภาพจริงแล้วจะต้องamazingกับภาพที่ออกมาแน่นอน ใครสนใจอยากดูภาพของFormovie Theater ทางตัวแทนจำหน่ายยินดีและพร้อมที่จะไปDemoภาพให้ดูได้ แต่ขอเตือนนิดหนึ่งนะครับว่าต้องใจแข็งหน่อย เพราะไม่อย่างนั้นแล้วโปรเจคเตอร์ตัวเก่าที่ใช้อยู่อาจจะมีอาการสั่นได้ครับ ต้องขอขอบคุณทางบริษัท AR Technology ที่ส่งโปรเจคเตอร์Formovie Theaterมาให้ทดสอบในที่นี้ด้วยนะครับ
อย่าลืม! Subscript ช่อง MorAek Hometheater บน Youtube ด้วยนะครับ