พูดถึงโปรเจคเตอร์SIM2จำได้ว่าตอนผมเริ่มเล่นเครื่องเสียงใหม่ๆได้แต่มองอ้าปากค้าง เนื่องจากว่าเป็นโปรเจคเตอร์ที่อยู่ไกลเกินฝันด้วยราคาที่สูงมากใช้กันในกลุ่มผู้เล่นระดับHigh-End และหาชมภาพจริงยากมาก ได้แต่อ่านreviewsแล้วนึกภาพตามว่าโปรเจคเตอร์ระดับนี้ภาพจะออกมาดีขนาดไหน จนเมื่องานCEDIA EXPOครั้งล่าสุดสองปีก่อน ก็ได้มีโอกาสได้สัมผัสกับภาพจากโปรเจคเตอร์รุ่นล่าสุดของSIM2 Dual Nero 4sที่ออกแบบให้วางstackกันสองตัว โดยแบ่งแต่ละตัวทำงานไม่เหมือนกัน ตัวหนึ่งทำงานในส่วนสว่างมากและส่วนอีกตัวทำงานในส่วนที่มืดกว่า ทั้งนี้เพื่อให้โปรเจคเตอร์มีDynamicและความสว่างของภาพสูงสุด จำได้ว่าในวันที่เข้าไปชมมีมือภาพระดับโลกหลายคนได้เข้าไปนั่งดูพร้อมกัน ผมนั่งอยู่หลังJoe Kaneที่กำลังนั่งดูอย่างตั้งใจ ภาพที่ผมเห็นจากโปรเจคเตอร์SIM2ในงานCEDIAวันนั้นสะดุดตามากทั้งความสว่าง สีสันของภาพที่มีความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง และเมื่อวันนี้มีโอกาสได้ทดสอบโปรเจคเตอร์ของSIM2 ก็ทำให้ได้รู้จัก เข้าใจโปรเจคเตอร์ระดับHigh Endจากอิตาลีตัวนี้มากขึ้น ใครสนใจและอยากรู้จักโปรเจคเตอร์ตัวนี้ให้มากขึ้น ติดตามอ่านกันได้เลยครับ
แกะกล่องเครื่องออกมาสิ่งแรกที่สัมผัสได้ก็คือตัวเครื่องหนักกว่าที่คิดไว้ เห็นตัวเครื่องจากรูปภาพก็คิดว่าน้ำหนักคงไม่หนักมากแต่พอยกออกมาจากกล่องนี่รู้สึกเลยว่าไม่เบา น้ำหนักแจ้งไว้อยู่ที่ 14.5kg ขนาดตัวเครื่อง 50.7×39.2×18.1cm. ใครจะติดตั้งแบบแขวนก็ต้องเตรียมขาแขวนโปรเจคเตอร์ที่รับน้ำหนักได้อย่างน้อย15kg กำลังดี รูปร่างลักษณะภายนอก ออกแบบได้สวยงาม ดูเรียบๆทรงminimalistแต่แผงไว้ด้วยความหรูหรา ทันสมัย ดูดีมีdesign ร่วมกับพื้นผิวตัวถังอย่างหนาเป็นแบบcrystal glass-based ทำให้โปรเจคเตอร์เครื่องนี้ถ้าวางไว้ในห้องนั่งเล่นหรือห้องทั่วไปภายในบ้านถือได้ว่าเป็นเฟอร์นิเจอร์สวยๆอย่างหนึ่งได้เลย นอกจากนี้ความหนาของตัวถังนอกจากเพิ่มความแข็งแรงมั่นคงให้กับเครื่องแล้วยังช่วยลดการvibrationหรือการสั่นของเครื่องลงได้มาก ทำให้ภาพที่ฉายออกมาไม่มีการสั่นไหวเพิ่มความคมชัด
อุปกรณ์อื่นที่อยู่ในกล่องก็ตามมาตรฐานทั่วไป ไม่มีอะไรมาก
รีโมตก็ตามมาตรฐานโปรเจคเตอร์ มีปุ่มกดเปิดปิดไฟสีฟ้าเพื่อใช้ในที่มืด ที่แอบชอบคือปุ่มF1 F2ที่สามารถเปลี่ยนaspect ratioจาก 16:9 ไปเป็น 2.35:1 ได้ง่ายเพียงปุ่มเดียว อย่างห้องผมใช้เป็นจอwide screen ratio 2.35:1 ถ้าตั้งzoomให้ขนาดของภาพwide screenพอดีกับขนาดของจอภาพ ภาพก็จะออกมาเต็มจอพอดี แต่เมื่อเล่นcontentที่เป็น 16:9 ภาพก็ล้นจอด้านบนด้านล่าง ซึ่งเมื่อกดปุ่มF1ภาพที่ล้นจอบนล่างก็จะถูกปรับให้อัตราส่วนพอดีกับจอภาพอัตโนมัติ โดยมีblack barด้านข้างเนื่องจากจอที่ใช้เป็นwide screen ลักษณะคล้ายการปรับauto aspect ratioที่อยู่ในexternal video processorเพียงแต่ในเครื่องนี้จะใช้การกดปุ่มเลือกสลับไปมาเองตามความต้องการ แค่นี้ใครใช้จอภาพแบบwide screenก็happyละครับชีวิตง่ายขึ้นเยอะ
โปรเจคเตอร์ตัวนี้ใช้Blue laserร่วมกันPhosphor technologyในการให้แสงสว่าง ดังนั้นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ก็คือความร้อนที่เกิดขึ้น แต่การระบายความร้อนของเครื่องนี้ทำได้ดีมาก มีการออกแบบครีบด้านข้างที่สวยงามและมีประโยชน์ในการกระจายความร้อนได้อย่างดีทำให้เครื่องโปรเจคเตอร์แบบเลเซอร์ตัวนี้มีความเงียบมากที่สุดตัวหนึ่งที่อยู่ในตลาดเลยทีเดียว ผมลองดูในspecก็ไม่ได้ระบุไว้ชัดเจนว่ามีความดังเท่าไหร่แต่การลองใช้จริงในห้องที่วางตัวเครื่องห่างจากตำแหน่งนั่งดูไม่กี่ฟุตผมก็แทบจะไม่ได้ยินเสียงเครื่องเลย หรือแม้กระทั่งเปิด Bright modeเร่งความสว่างของเครื่องเต็มที่เสียงก็ยังเบาอยู่ เคยเจอโปรเจคเตอร์บางเครื่องในmodeปกติเสียงก็เงียบดี แต่พอเร่งไปที่ความสว่างสูงสุดเสียงดังมาก ดังแบบที่ว่ารบกวนการดูหนังเลย แต่ตัวนี้ลองดูแล้วเงียบจริง
ด้านหลังของเครื่องออกแบบมาให้เป็นฝาเปิดปิดได้เพื่อซ่อนความไม่เรียบร้อยของช่องต่อสายต่างๆที่บางทีจะรกรุงรังในการใช้งานจริงเนื่องจากต้องมีการต่อสายต่างๆเต็มไปหมด โดยฝานี้ออกแบบให้เป็นแผ่นcrystal glassอย่างหนามีบานพับเปิดปิดเพื่อความสะดวกเพิ่มความสวยงาม
เปิดฝาด้านหลังออกมาจะพบกับช่องต่อต่างๆ ที่ให้มาจะมีช่องต่อสายไฟแบบสามขา ช่องต่อLANสำหรับการเชื่อมต่อเครื่องแบบ Crestron, Extron, PJLink, AMX, HTTP, Telnet นอกจากนั้นก็สามารถควบคุมเครื่องผ่านทางช่องRS232-C ช่องHDMIให้มาสองช่อง ช่องแรกเป็นHDMI 1.4อีกช่องเป็นHDMI 2.0รองรับภาพ 3840×2160 @60Hz น่าเสียดายที่ยังไม่มีช่องต่อHDMI 2.1แต่อาจจะเนื่องจากว่าเป็นโปรเจคเตอร์ที่เน้นในเรื่องของการดูหนังเป็นหลัก HDMI 2.1ก็อาจจะยังไม่ได้ใช้ประโยชน์มากนักในปัจจุบัน อย่างInput Lagผมวัดได้ที่ 89ms ซึ่งถ้าจะเอาไปเล่นเกมส์ก็แค่พอไหว ทำให้เห็นได้ว่าเครื่องออกแบบมาเน้นการดูหนังจริงๆ ช่องต่ออื่นๆก็จะมีช่องVGA, ช่องUSBที่มีแต่ไฟอย่างเดียวเพื่อต่อกับสายHDMIที่จำเป็นต้องใช้ไฟฟ้า ช่องต่อOpticalเพื่อส่งสัญญาณเสียงออกจากโปรเจคเตอร์ และมีช่องUSBอีกช่องเพื่อใช้ในการควบคุมและfirmware update ส่วนด้านข้างทั้งสองข้างจะมีปุ่มเปิดปิด และควบคุมเครื่องเหมือนบนรีโมท
เลนส์ที่ใช้ในเครื่องโปรเจคเตอร์จะใช้เป็นแบบเลนส์แก้วคุณภาพสูงที่มีdispersionต่ำมาก ตัวเลนส์ถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้กับชิปกำเนิดภาพDMDโดยเฉพาะ เพื่อให้ภาพที่ออกมามีความคลาดเคลื่อนสีน้อย ความสว่างสูง มีความคมชัดและcontrastที่ยอดเยี่ยมตลอดเหมือนกันทั่วทั้งภาพ ตัวเลนส์มีอัตราส่วนzoom อยู่ที่1.6X อย่างในห้องผมใช้จอratio2.35ขนาด150นิ้ว วางตัวเครื่องโปรเจคเตอร์ห่างจากจอห้าเมตรครึ่งก็สามารถฉายภาพเต็มจอได้สบาย เสียแต่ว่าการปรับzoom,shift,focusภาพ จะใช้แบบmanualทั้งหมด ทำให้ไม่ค่อยสะดวก แต่ก็พอจะเข้าใจได้เนื่องจากโปรเจคเตอร์ตัวนี้ถูกจัดวางอยู่ในระดับMid rangeของ SIM2 จึงมีการตัดfeatureบางอย่างออกไปเพื่อให้สามารถใช้อุปกรณ์กำเนิดภาพและเลนส์เหมือนกับรุ่นสูงของSIM2 ภาพที่ออกมาจากโปรเจคเตอร์ตัวนี้จึงใกล้เคียงกับภาพจากโปรเจคเตอร์รุ่นเรือธงแต่ในราคาที่ลดลงมามาก โดยโปรเจคเตอร์ SIM2 Crystal 4SHตัวนี้ราคาตั้งอยู่ที่ 599,000บาท ส่วนรุ่นใหญ่กว่านี้ที่อยู่ในสายการผลิตของSIM2 ก็จะมีรุ่น Nero 4S ราคา 1,260,000บาท , Nero 4S Gold ราคา 1,600,000บาท และสูงสุด Dual Neo 4S Goldที่ใช้โปรเจคเตอร์สองตัวStackกัน ราคา 2,300,000บาท
SIM2 Crystal 4SHใช้เทคโนโลยีการกำเนิดภาพแบบDLPโดยTexas Instrumentsเช่นเดียวกับรุ่นใหญ่และรุ่นเรือธงของSIM2 ส่วนแหล่งกำเนิดแสงจะเป็นแบบ laser-phosphor ใช้ลำแสงblue laserยิงผ่านphosphor wheel ที่มีส่วนใส ส่วนสีเหลือง และส่วนสีเขียว โดยส่วนใสให้แสงสีน้ำเงินผ่าน ส่วนyellow phosphorให้กำเนิดแสงสีเหลืองและสีแดง green phosphorให้แสงสีเขียวเพิ่มเติมจากแบบทั่วไปที่ไม่มีส่วนgreen phosphorเพื่อเพิ่มdynamicและความเข้มสีของเครื่องโปรเจคเตอร์ หลังจากนั้นลำแสงจะส่งต่อไปยังcolor filter wheel ที่แบงเป็นสี่ส่วนได้แก่สีแดง เขียว น้ำเงิน และเหลือง(RGBY) ทั้งนี้ไม่มีส่วนสีขาวเพื่อให้dynamicของสีต่างๆมีค่าสูงสุด หลังจากนั้นแสงก็จะเข้าไปยังชิป DMD(Digital Micromirror Device)ที่เป็นกระจกสะท้อนแสงเล็กๆสะท้อนแสงผ่านเลนส์ไปรวมกันบนจอกำเนิดเป็นภาพต่างๆ
ชิปDMDที่ใช้จะเป็นชิปตัวใหญ่ 0.66” UHD DMD สามารถแสดงรายละเอียดได้ 3840×2160 pixels โดยมีกระจกอยู่ที่ตัวชิป2716×1528 หรือประมาณสี่ล้านบาน และเมื่อมีการใช้การขยับและหมุนกระจกไปมากว่าแสนครั้งต่อวินาทีทำให้กระจกหนึ่งบานแสดงภาพ 2pixels(กระจกของชิปDMDหนึ่งอันสามารถหมุนให้เกิดการแสดงภาพได้สูงสุด4pixels) ก็ทำให้ภาพที่แสดงออกบนจอครบแปดล้านสามแสนเต็ม ส่วนชิปตัวเล็กที่ใช้ในhome projectorsก็จะมีขนาด 0.47”มีจำนวนกระจกอยู่ที่ 1920×1080 และขนาด 0.33”มีกระจกอยู่จำนวน 1366×768ตัว ส่วนมากจะใช้กับโปรเจคเตอร์ในระดับราคาที่ไม่สูงมากนัก สำหรับข้อดีของการใช้ชิปDMDตัวใหญ่นั้นนอกจากจะให้ความคมชัดของภาพมากกว่าตัวเล็ก อีกอย่างหนึ่งของข้อดีก็คือให้ความสว่างของภาพ และDynamicของสีได้ดีกว่า โดยโปรเจคเตอร์ระดับHigh Endที่ใช้ชิปDMDส่วนมากจะใช้ชิปตัวใหญ่นี้ และการใช้การกำเนิดภาพแบบชิปตัวเดียวก็ยังไม่เกิดปัญหาการเหลื่อมกันของชิป เช่นถ้าไม่ได้มีการเช็คการตรงกันของชิปอย่างสม่ำเสมอก็จะทำให้เกิดการไม่ตรงกันของชิปสีต่างๆ ส่งผลถึงความชัดของภาพตามมาได้
การทดสอบผมได้นำเครื่องวางไว้บนชั้นวางที่อยู่ด้านหลังตำแหน่งนั่ง ห่างจากจอภาพประมาณห้าเมตร จอภาพที่ใช้ในการทดสอบเป็นจอStewart FireHawk G5 เกนภาพ1.1 อัตราส่วนภาพ2.35:1ที่150นิ้ว เมื่อเปิดเครื่องขึ้นมาสิ่งแรกที่รู้สึกคือภาพสว่างมาก สว่างจนต้องเอาmeter มาวัดเลย เมื่อวัดดูพบว่าBright mode สามารถทำความสว่างที่อัตราส่วนภาพ16:9 ขนาด 120นิ้วได้ถึง 31fL และถ้าลองขยายให้เป็นจอ16:9ที่160นิ้ววัดได้ 23fL ซึ่งก็ใกล้เคียงตามfactory specที่ให้มาว่าโปรเจคเตอร์ตัวนี้ปล่อยความสว่างออกมาได้สูงสุด 3,600Lumens ซึ่งนับว่าเป็นโปรเจคเตอร์ที่ให้ความสว่างสูงมากเมื่อเทียบกับโปรเจคเตอร์ในระดับเดียวกันที่ส่วนมากความสว่างจะอยู่ในระดับสองพันกว่าLumens โดยทางSIM2ได้บอกว่าที่โปรเจคเตอร์ให้ความสว่างได้สูงมากขนาดนี้ก็เนื่องจากว่าทางบริษัทมีR&Dในการใช้เทคโนโลยีDLPร่วมกับแหล่งกำเนิดแสงต่างๆมากว่า 20ปี ร่วมกับมีการศึกษาพัฒนาในเรื่องของภาพHDRมามากกว่า 17ปี ซึ่งถือได้ว่าเป็นบริษัทแรกๆที่ทำการพัฒนาในเรื่องของHDRนี้ ดังนั้นSIM2จึงให้ความสำคัญกับเรื่องของความสว่างมากเพราะความสว่างเป็นหัวใจสำคัญของภาพHDRร่วมกับในปัจจุบันผู้บริโภคได้หันมาเล่นจอภาพที่มีขนาดใหญ่เพิ่มมากขึ้นจึงต้องการความสว่างของโปรเจคเตอร์สูงขึ้น โดยถ้าเป็นโปรเจคเตอร์SIM2รุ่นที่ใหญ่กว่านี้ก็จะมีความสว่างมากขึ้นอย่างเช่นรุ่น Nero 4S Gold ทำความสว่างได้ 6,000 Ansi Lumens ส่วนรุ่นDual Nero 4Sนั้นสามารถทำความสว่างขึ้นไปได้ถึง 10,000Ansi Lumensกันเลยทีเดียว
ทำการเปิดburnภาพห้าสิบชั่วโมงกว่าๆจึงเริ่มทำFully Calibration โดยอุปกรณ์ที่ใช้ในการวัดแสงจะใช้Spectrophotometer Jetiรุ่นspectraval 1511เป็นหลัก ส่วนColorimeter Klein K-10Aใช้ในการทำprofileจากJeti 1511แค่ส่วนการวัดที่มีแสงน้อยและการทำ3D LUTเท่านั้น
ที่ต้องใช้Jeti spectraval1511ในการปรับภาพก็เนื่องจากว่าSpectrophotometer ตัวนี้สามารถวัดความละเอียดของสี(Optical bandwidth)ได้ 4.5nm (ถ้าเป็น1511รุ่นHiRes versionวัดได้ละเอียดถึง 2nm) ในขณะmeterทั่วไปที่ใช้จะวัดได้ละเอียด 10nm การที่ต้องใช้meterละเอียดในการวัดก็เนื่องจากว่าภาพที่เกิดจากแหล่งกำเนิดแสงlaserจะมีbandwidthแคบมาก ดังภาพแสดงSpectral Power Distributionของเครื่องโปรเจคเตอร์SIM2 Crystal 4SHที่จะมีความเข้มของพลังงานสีน้ำเงินที่แคบและสูงมาก ถ้าใช้meterไม่ละเอียดพอทำให้การวัดสีน้ำเงินไม่ตรง ส่งผลถึงการวัดสีต่างๆของภาพคลาดเคลื่อนตามไปด้วยเนื่องจากสีน้ำเงินเป็นแม่สีที่เอาไปผสมกับสีอื่นๆ การวัดภาพจากโปรเจคเตอร์หรือทีวีแบบlaserจึงแนะนำให้ใช้meterที่มีความละเอียดOptical bandwidthระดับน้อยกว่า 5nm
สำหรับDisplay ModeของSIM2 Crystal 4SH มีหลายpresetsให้เลือกใช้ได้แก่ Natural, Dynamic, Bright, Cinema, Sport, HDR, HLG, BrightHDR, BrightHLG และUser โดยภาพ HD/SDRที่ลองวัดดูพบว่าpreset Naturalเหมาะสมที่จะใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการปรับมากที่สุด รายละเอียค่าต่างๆในการปรับจะอยู่ในdiagramแล้ว โดยส่วนที่ต้องปรับเยอะหน่อยก็จะเป็นสีน้ำเงินที่ให้ความเข้มและความสว่างเยอะไป ต้องมีการปรับลดลง ซึ่งเมื่อปรับภาพเสร็จแล้วค่าdeltaEเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ2 ถือว่าอยู่ในมาตรฐานที่ดี สำหรับภาพUHD/HDR เครื่องโปรเจคเตอร์จะรองรับระบบ HDR10 และ HLG(Hybrid Log Gamma) โดยเมื่อมีสัญญาณHDRเหล่านี้เข้ามาเครื่องจะเปลี่ยนให้เลือกได้เฉพาะpreset HDR/HLG หรือ BrightHDR/BrightHLGอัตโนมัติ ซึ่งการปรับภาพUHD/HDRแนะนำว่าไม่ควรจะปรับเยอะเกินไปเนื่องจากค่าที่ตั้งมาจะเหมาะสมกับTone mappingที่อยู่ในเครื่องอยู่แล้ว โดยค่าpreset HDRจะมีค่าใกล้เคียงมาตรฐานมากกว่า BrightHDRแต่ความสว่างจะไม่เท่า และเท่าที่ลองดูภาพBrightHDRนั้นก็ถือว่าภาพไม่ได้หลุดมาตรฐานมาก แต่ได้ความสว่างของภาพมาอีกพอสมควรเลยทีเดียว ผมเคยเจอโปรเจคเตอร์หลายเครื่องที่เมื่อปรับภาพไปที่mode Brightของภาพแล้ว ภาพสว่างขึ้นก็จริงแต่สีสันของภาพไม่ดีจนในที่สุดต้องเลือกไปใช้mode HDRที่มืดๆแทน แต่SIM2 Crystal 4SHไม่เป็นแบบนี้ ภาพในmode BrightHDRนั้นทำได้ดีเลย ใครที่ใช้จอใหญ่ได้ความสว่างของภาพมาอีกโดยที่ภาพยังคงความสวยงามอยู่
และสำหรับภาพUHD/HDRนั้นHDR engineของเครื่องยังมีลูกเล่นในการปรับอีกหลายอย่างเพื่อให้ภาพออกมาได้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในแต่ละห้องที่ต่างกัน เด่นๆก็จะมี HDR Settingsที่สามารถเลือกได้ว่าจะใช้ค่าEOTF ตามข้อมูลความสว่างที่ใส่ลงมาในcontent หรือจะเลือกปรับเป็น HDR1-HDR4ตามขนาดของจอภาพ ต่อมาก็จะเป็น Auto Adaptive Contrastจะเป็นการปรับความสว่าง contrastแบบDynamic เท่าที่ดูก็คือDynamic Tone Mappingของโปรเจคเตอร์SIM2 เพียงแต่ใช้ชื่อต่างไป และอีกfunctionที่workมากก็คือ Super Hybrid Modeสามารถเลือกได้ทั้ง off, Standard, Enhanced, Deep Black จะเป็นการปรับcontrastของภาพว่าต้องการให้ภาพนั้นออกมาดำขนาดไหน ผมแนะนำให้ปรับไว้ที่Standard หรือ Enhancedก็เพียงพอ แต่ถ้าหนังไม่ได้มีฉากมืดมากเกินไปก็สามารถเลือกDeep Blackได้ ทำให้ภาพcontrastดีขึ้นไปอีก แต่ถ้าหนังที่ฉากมืดเยอะๆการปรับไว้ที่Deep Blackจะทำให้บางฉากดูมืดเกินไป โดยถ้ามีการเลือกใช้ทั้งAuto Adaptive Contrastพร้อมกับSuper Hybrid Modeก็จะทำให้การควบคุมในเรื่องcontrastของภาพทำได้เต็มประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะจะสามารถความคุมถึงการdimความสว่างของแสงเลเซอร์ด้วย ทำให้การไล่ความสว่าง ความมืด contrastของภาพออกมามีความละเอียดถูกต้องเหมาะสมสูงสุดในเฟรมภาพแต่ละเฟรมกันเลย
Advanced Image Processingจะเป็นการปรับในเรื่องของ Enhanced Detail , Enhanced Colors และMotion Compensation ซึ่งเท่าที่ลองใช้ดูก็พบว่าปรับแล้วเห็นผลต่างของภาพได้ชัดเจน ทั้งEnhanced Detailที่ทำให้รายละเอียดภาพมีเพิ่มมากขึ้นโดยไม่มีartifactของภาพตามมาเหมือนการปรับsharpness แนะนำปรับไว้ที่1, Enhanced Colorสีของภาพก็จะดูเข้มขึ้นตามความต้องการ ปรับไว้ที่1-2ก็กำลังสวย ส่วนMotion Compensationก็จะทำให้ภาพดูลื่น smoothมากขึ้นตามค่าที่ปรับโดยสามารถเลือกได้ว่าจะoff, 1, 2 หรือ 3โดยผมเลือกไว้ที่ off หรือ 1
การทำ 3D LUTโดยใช้External Video Processorก็สามารถทำได้เช่นกันถ้าใครต้องการความถูกต้องของสีแบบใกล้เคียงมาตรฐานที่สุด และเท่าที่ผมลองทำผ่านตัว MadVRและLumagenก็พบว่าในเรื่องความแม่นยำของสีดีขึ้น แต่สำหรับในเรื่องของdynamic tone mappingนั้นไม่ค่อยเห็นผลชัดเจนเท่าไหร่ เนื่องจากว่าtone mapping processingในเครื่องโปรเจคเตอร์SIM2นั้นทำได้ดีมากอยู่แล้ว
นอกจากนั้นโปรเจคเตอร์ของSIM2ยังมาพร้อมกับโปรแกรมปรับภาพอัตโนมัติของตัวเองที่ชื่อ LCC(Live Color Calibration) โปรแกรมที่ผมได้รับมาเป็นversion 5.6 ใช้งานโดยการต่อเครื่องโปรเจคเตอร์เข้ากับPCผ่านทางวงLAN หรือสามารถต่อตรงผ่านช่อง RS232 แล้วเชื่อมต่อColorimeterไปที่คอมพิวเตอร์ หลังจากนั้นPCก็สามารถควบคุม ปรับค่า ตั้งค่าต่างๆของโปรเจคเตอร์ได้ และเมื่อcalibrationเสร็จแล้วก็ทำการsaveไว้ในไฟล์นามสกุลlcc ข้อมูลก็จะเข้าไปเก็บไว้ที่เมนูColor Gamutชื่อ LCC-DCI เพื่อเลือกใช้หรือเพื่อเปรียบเทียบกับColor Gamutอื่นที่มีอยู่ในเครื่องแล้ว
มาถึงการดูภาพจริงๆหลังจากCalibration สิ่งแรกที่อยากดูคือเรื่องของHDR processingของเครื่องว่าทำได้ดีขนาดไหน Blu-rayใช้ทดสอบก็คือ Mad Max: Fury Roadเป็นหนังที่ใส่ความสว่างมาถึงเกือบๆ 10,000nits
ฉากที่ผมชอบใช้ทดสอบก็คือฉากเปลวไฟ ฉากการระเบิดต่างๆ ซึ่งถ้าHDR processingของเครื่องทำได้ไม่ดี ฉากเหล่านี้จะดูแปลกตาไม่สมจริง สีเปลวไฟสีฉากระเบิดก็จะดูเป็นการ์ตูน การไล่สีของแสงไฟก็จะเป็นสีแดงเยอะส่วนของสีเหลืองไล่ไปจนถึงเหลืองอ่อนและขาวในส่วนที่nitสูงๆก็จะไม่มี หรือบางทีบางฉากสีขาวที่nitสูงการclippingก็เยอะเกินไป แต่SIM2เครื่องนี้ทำส่วนตรงนี้ได้ดีมาก ดูsmooth ผ่านไปแบบสบาย ไม่มีการขัดตาแต่อย่างไร สมแล้วที่ศึกษาและพัฒนาภาพHDRมาอย่างยาวนาน
หรืออย่างในฉากนี้บริเวณขอบกระจกจะเป็นSpecular Highlightที่ใส่ความสว่างของsub-pixelsมาถึงเก้าพันกว่าnits ภาพจริงที่เห็นบนจอนั้นพบว่าบริเวณนี้มีความสว่างมากๆ การclippingและการไล่สีรอบๆไม่ทำให้ภาพออกมาดูเพี้ยน ดูแล้วชอบเลย โปรเจคเตอร์ความสว่างสูงๆมันได้เปรียบแบบนี้นี่เอง
ลองกับภาพยนตร์ใหม่Spider-Man: No Way Home(2021) เริ่มฉากแรกมานี่ Wowเลย! ทั้งสีสันสวยใส ความละเอียดของภาพที่เป็นSignatureของDLP technologyอยู่แล้ว รวมถึงฉากการเคลื่อนไหวที่Spider-Man โหนข้ามตึกต่างๆนั้นทำได้อย่างยอดเยี่ยมมีความsmooth ต่อเนื่อง แต่ยังคงให้รายละเอียดขณะเคลื่อนที่ได้ดี ต้องบอกไว้ว่าโดยพื้นฐานแล้วDLP เทคโนโลยีจะมีจุดเด่นเรื่องภาพเคลื่อนไหวเนื่องจากกระจกในการกำเนิดภาพนั้นมีการหมุนเป็นแสนๆครั้งต่อวินาที ดังนั้นการเคลื่อนไหวหรือmovementของภาพ จะมีความต่อเนื่องไม่มีอาการค้างของภาพหรือrefreshภาพช้า นอกจากนี้SIM2เครื่องนี้ยังมีเมนูเพิ่มความsmoothของภาพเคลื่อนไหวMotion Compensation อีกสามระดับให้เลือกเพิ่มเติมด้วยว่าต้องการให้ภาพมีความsmoothระดับไหนอีกด้วย
ภาพในฉากมืดให้รายละเอียดของสีที่ดี ดูเป็นธรรมชาติ
HDR processingที่ดีทำให้การไล่ระดับสีจากสว่างสุดถึงส่วนมืดสุดทำได้สมบูรณ์แบบ
ด้วยความสว่างของโปรเจคเตอร์ทำให้ฉากที่มีความแตกต่างของแสงมากมีความน่าตื่นตาตื่นใจ ดูหนังสนุกมากขึ้นเยอะเลย
พอพูดถึงDLP Technologyบางคนก็จะคิดในใจว่า ความดำของภาพไม่ดีแน่นอน แต่สำหรับSIM2 Crystal 4SHตัวนี้นั้น ผมบอกได้เลยว่าเป็นโปรเจคเตอร์DLPอีกตัวหนึ่งที่ให้ความดำของภาพที่ยอดเยี่ยมสวยงาม คือไม่ได้มีแต่ความดำแบบมืดๆอย่างเดียว แต่เป็นความดำที่ไล่ระดับสีในความมืดได้เนียนสมจริงดูเป็นธรรมชาติมากที่สุดตัวหนึ่งเลย
ขอมาลองกับหนังเก่า Shooter (2007)ที่เอามาทำใหม่เป็นUHD/HDRดูบ้าง เรื่องนี้เป็นหนังที่สมัยนั้นชอบเอามาทดสอบภาพHD/SDRกันมาก คราวนี้ขอมาลองกับโปรเจคเตอร์SIM2 Crystal 4SHดูบ้าง พอหลังจากดูเสร็จอยากบอกว่ารายละเอียดและสีของSniper riflesมันติดตามากครับ
สำหรับใครที่ใช้จอภาพใหญ่ๆ หรือไม่สามารถควบคุมแสงสว่างในห้องได้เต็มที่ การใช้Display Modeแบบ BrightHDRสามารถช่วยได้มาก ภาพที่ออกมายังให้สีสันแทบไม่ต่างกับ HDR mode แต่อาจจะต้องระวังในส่วนของnoiseนิดหนึ่งในบางฉากที่มืดมากๆ ซึ่งต้องเปิดการใช้งานเมนู Noise Reductionเพิ่มเติมโดยสามารถเลือกปรับได้สี่ระดับคือ off, 1 , 2 , 3
การให้สีสัน contrast และรายละเอียดต่างๆในภาพ ทำได้ในระดับยอดเยี่ยม
ลองกับภาพยนตร์เรื่อง The King’s Man (2021) แสดงให้เห็นถึงความดำและการไล่ระดับที่ส่งเสริมให้ภาพดูมีมิติ มีความลึก
จากภาพยนตร์เรื่อง House of Gucci(2021) เลนส์คุณภาพสูงร่วมกับDLP Technologyทำให้เห็นถึงรายละเอียดและความคมชัดที่เยี่ยมมาก
สีสันที่Coloristใส่ลงมาในภาพยนตร์ โปรเจคเตอร์SIM2 Crystal 4SH ถ่ายทอดออกมาได้อย่างมีความประณีต คลาสสิค เป็นเอกลักษณ์ที่สวยงาม สมกับเป็นโปรเจคเตอร์ของอิตาลี
ภาพและสีสันของโปรเจคเตอร์SIM2น่าจะถูกใจFrancis Ford Coppolaผู้กำกับ5รางวัลออสการ์มาก เพราะพี่แกใช้ทั้งที่Studiosและทั้งที่บ้านของแกเลย
หลังจากได้ทดสอบโปรเจคเตอร์SIM2 Crystal 4SH มาร่วมเดือน ต้องบอกว่าโปรเจคเตอร์ตัวนี้เป็นโปรเจคเตอร์ที่ให้ภาพทั้งHD/SDRและUHD/HDRได้ยอดเยี่ยม HDR processingที่อยู่ในเครื่องทำงานอย่างมีประสิทธิภาพทำให้ภาพHDRออกมามีความโดดเด่น มีเอกลักษณ์ สวยงาม การใช้DLP Technologyในการกำเนิดภาพร่วมกับเลนส์คุณภาพสูงทำให้ภาพมีความคมชัด contrastรายละเอียดดี มีความสว่างของภาพสูงมากเมื่อเทียบกับโปรเจคเตอร์ในระดับเดียวกัน สีสันสวยงามเที่ยงตรง รวมถึงการเคลื่อนไหวของภาพก็ทำได้อย่างsmooth ดูเป็นธรรมชาติ ตัวเครื่องมีการออกแบบรูปทรงและพื้นผิวอย่างประณีตสวยงามประหนึ่งเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่มีระดับชิ้นหนึ่งในบ้าน ใครที่รักการดูหนังต้องการเครื่องโปรเจคเตอร์สมรรถนะสูง ให้ภาพที่ออกมาสวยงามมีศิลปะสไตล์อิตาลี ผมขอแนะนำโปรเจคเตอร์ตัวนี้เลย ต้องขอขอบคุณทางบริษัทLiving Soundที่ได้ส่งโปรเจคเตอร์ตัวนี้มาให้ทดสอบด้วยครับ