Review

Search

Hisense L5 4K Laser TV 120”

Laser TVจากHisenseที่ตอนนี้คุ้มค่าสุดกับราคาค่าตัวรวมจอ120นิ้ว เพียง139,990บาท แถมยังมีบริการติดตั้งให้ฟรี โปรเจคเตอร์ตัวนี้คุณภาพจะเป็นอย่างไรบ้างติดตามอ่านกันได้เลยครับ

พูดถึงLaser TV ขอเกริ่นไว้เล็กน้อยเผื่อบางคนอาจยังไม่คุ้นเคยคิดว่าเป็นทีวีFlat Panel ความจริงแล้วLaser TVเป็นชื่อเรียกของโปรเจคเตอร์แบบUltra short Throwที่มีแหล่งกำเนิดแสงแบบเลเซอร์ ทำให้โปรเจคเตอร์สามารถวางไว้ด้านหน้าจอภาพแล้วฉายภาพขึ้นจอขนาดใหญ่โดยมีความสว่างสูงจากการใช้แสงจากเลเซอร์ทำให้ดูแล้วภาพที่ออกมาเหมือนเป็นจอทีวีขนาดใหญ่วางอยู่

Long-Throw Projectos โปรเจคเตอร์มาตรฐานที่คุ้นเคยกัน โดยเมื่อต้องการสร้างภาพสัดส่วนภาพ 16:9 ขนาด 100นิ้วก็จะต้องวางโปรเจคเตอร์ห่างจอรับภาพประมาณ 8-10ฟุต(244-305cm.) ถ้าเป็นShort-Throw Projectors โดยทั่วไปจะต้องใช้ระยะทางประมาณ 3-4ฟุต(90-120cm.) แต่ถ้าเป็นโปรเจคเตอร์แบบUltra Short-Throw Projectorsนั้นวางห่างจากจอภาพแค่เพียง 3-20นิ้ว(8-50cm.) อย่างเช่นHisense L5ตัวนี้ที่สามารถฉายภาพขนาด120นิ้วโดยวางโปรเจคเตอร์ห่างจอภาพแค่ 15นิ้ว(38cm.)เท่านั้น

ขนาดของตัวเครื่องอยู่ที่ 54.7×34.6×15.8cm. น้ำหนัก 11.5กิโลกรัม ด้านหน้ามีลำโพงFront-Firing 2.0Ch 30W RMSทำให้เวลานั่งดูหนังด้านหน้าตัวเครื่องก็ทำหน้าที่เหมือนเป็นSound Barและที่เจ๋งก็คือรองรับเสียงDolby Atmosทำให้สามารถเพลิดเพลินกับประสบการณ์แบบโรงภาพยนตร์ในห้องนั่งเล่นที่มีเสียงมาจากทุกทิศทางรวมถึงเหนืองศีรษะ และเท่าที่ผมลองเปรียบเทียบการการเลือกระบบเสียงแบบปกติเทียบกับTheater พบว่าแบบTheaterให้ความรู้สึกว่าเสียงมีความโอบล้อม มีชีวิตชีวารายละเอียด ความลึกดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

เทคโนโลยีกำเนิดภาพเป็นแบบSingle Chip DLP ที่มีแหล่งกำเนิดแสงแบบlaser ทำให้ภาพที่ออกมามีความสว่างสูง สีสันสดใสเป็นธรรมชาติเนื่องจากใช้หลักการสะท้อนภาพขอบชิปDMD และการใช้แหล่งกำเนิดแสงแบบlaserนอกจากจะทำให้ลำแสงมีความเข้มสีสูง การปิดเปิดเครื่องรวดเร็ว และที่สำคัญใช้งานได้มากกว่า 25,000ชั่วโมง เรียกได้ว่าดูไปแบบไม่ต้องคิดถึงชั่วโมงหลอดเหมือนหลอดไส้โปรเจคเตอร์ทั่วไป อีกอย่างหนึ่งสำหรับโปรเจคเตอร์ตัวนี้ก็คือเรื่องของRainbow Effectsที่จะเกิดจากการใช้Color WheelของเทคโนโลยีSingle Chip DLP ซึ่งในปัจจุบันเท่าที่ผมทดสอบโปรเจคเตอร์DLPมาหลายตัวพบว่าพัฒนาขึ้นมาเยอะกว่าเดิมมาก เหลือเห็นไม่กี่ฉากและไม่มีผลต่อการดูหนัง สำหรับHisense L5ตัวนี้ผมไม่สังเกตเห็นRainbow Effectsซึ่งทำให้แปลกใจเหมือนกันว่าทำได้ยังไงเยี่ยมจริง ในเรื่องของความสว่างในSpecแจ้งไว้ว่าให้ความสว่าง2,700Lumens จากการวัดหน้าจอจริงๆในmodeที่สว่างก็วัดได้ประมาณ27fLก็ถือว่าใกล้เคียงความสว่างของเครื่องที่แจ้งไว้

สำหรับทีวีHisense หลายคนก็ยังไม่คุ้นหูแต่ความจริงแล้วทีวีของHisenseมีmarketแชร์อยู่ในอันดับ1ของหลายประเทศในโลก โดยเฉพาะในประเทศจีนที่มียอดขายอยู่อันดับที่1มาถึง 17ปีต่อเนื่องกัน นอกจากนั้นLaser TV นี่Hisenseถือได้ว่าเป็นผู้บุกเบิกในด้านการคิดค้นพัฒนาตั้งแต่ปี คศ.2007 และก็ได้รับความนิยมทั่วโลกอย่างกับในปี คศ.2020 จากข้อมูลในการจัดส่งเลเซอร์ทีวีทั่วโลกHisense Laser TV Hisenseมีแชร์อยู่ถึง 53%ของตลาด หรืออย่างเวลาsearchเข้าไปในYouTubeเรื่องของ laser TVผมก็มักจะเห็นHisenseติดอันดับตัวTopในรายชื่อเสมอ ที่น่าสนใจมากสำหรับตอนนี้ก็คือราคาที่ลดลงมาจากตอนแรกที่เปิดตัว299,990บาท มาเป็น 139,990บาท แถมยังราคานี้เป็นราคาที่รวมจอแบบ ALR(Ambient Light Rejecting Screen)แล้วด้วย

ต้องบอกเลยว่าUltra short Throw โปรเจคเตอร์ที่จะเป็นlaser TVได้นั้น นอกจากจะต้องมีแหล่งกำเนิดแสงเป็นlaserแล้ว ตัวจอรับภาพก็ต้องเป็นจอรับภาพแบบตัดแสงรบกวนรอบข้างออกหรือที่เรียกสั้นๆว่าจอALR ชื่อภาษาอังกฤษเต็มๆว่าAmbient Light Rejecting screen เนื่องจากว่าจอเหล่านี้จะปฏิเสธแสงโดยรอบหน้าจอ ทำการสะท้อนแสงออกด้านข้างเลือกแต่แสงที่เข้ามาจากโปรเจคเตอร์โดยตรงที่จะสะท้อนไปยังผู้ชม ทำให้จอสามารถลดแสงสะท้อนด้านข้างได้มากกว่า 85% เห็นภาพ สี ความสว่าง คอนทราสต์ได้ชัดเจนในทุกสภาพแสง ที่เด็ดสำหรับHisense L5 ตัวนี้ก็คือ จอที่มาพร้อมกับเครื่องนั้นเป็นจอจาก DNP เลยทีเดียว ซึ่งคนเล่นhome theaterก็น่าจะคุ้นหูกับจอรับภาพของDNPที่เป็นจอระดับHi EndมีR&Dเกี่ยวกับจอให้ความสว่างมาอย่างยาวนาน อยากบอกเลยว่าราคาโปรโมชั่นตอนนี้เครื่องพร้อมจอ ผมว่าแค่จอก็คุ้มแล้ว

เท่านั้นยังไม่พอ ราคานี้ยังแถมการติดตั้งโดยช่างมืออาชีพจากบริษัทHisense Thailandให้ฟรีอีกด้วย คราวนี้มาลองดูการติดตั้งจากช่างกัน

ถึงเวลาช่างก็มาพร้อมกับอุปกรณ์ครบมือ ก่อนเข้ามาก็มีการโทรมานัดหมาย และเข้ามาตรงเวลา

ใช้เวลาไม่นานจอก็ประกอบเสร็จเรียบร้อย คงเนื่องจากช่างมีความชำนาญทำการประกอบมาหลายจอแล้ว ดูท่าทางคล่องแคล่วดีมาก

การเชื่อมต่อ Hisense L5ให้ช่องต่อHDMI(2.0) มาให้ถึง4ช่องมากกว่าโปรเจคเตอร์ทั่วไปที่จะให้มาแค่ 1-2ช่อง โดยช่องแรกจะเป็นARC(audio return channel) HDMI นอกจากนั้นก็จะมีช่องUSB inputsสองช่องสำหรับเล่นไฟล์multimedia, ช่องoptical digital audio output, ช่องต่อหูฟัง ช่องสายLANเพื่อต่อnetwork หรือจะใช้การเชื่อมต่อแบบWi-Fiก็ได้

และเพื่อให้สมกับคำว่าLaser TVก็จะมีช่องรับสัญญาณทีวีในตัว(built-in TV tuner) สามารถรับประมวลผลและแสดงสัญญาณโทรทัศน์ที่ออกอากาศได้ด้วย

เนื่องจากการติดตั้งที่ห้องนั่งเล่นนี้เพื่อการทดสอบผมจึงให้ช่างทำขาตั้งไม้เพื่อวางชั่วคราว แต่ถ้าจะให้ดีการยึดติดกับผนังที่ว่างก็จะให้ความสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่านี้ เมื่อทำขาตั้งเสร็จก็เป็นการปรับให้ภาพพอดีกับจอ โดยขั้นตอนนี้จะให้วิธีการเชื่อมต่อกับappโทรศัพท์แล้วทำการsetค่าต่างๆผ่านการถ่ายรูปโดยโทรศัพท์

ทำการติดตั้งโดยช่างเสร็จอย่างรวดเร็วและเรียบร้อย แอบเปิดภาพดูเบื้องต้นก็สวยงามแล้วนี่ขนาดว่าช่วงกลางวันที่เปิดไฟทั้งดาวน์ไลท์ และไฟนีออนซ่อนฝ้าพร้อมกันเพื่อให้สว่างในการติดตั้ง ภาพก็ยังสู้แสงให้ความสว่างดีอยู่

เมื่อติดตั้งทุกอย่างเรียบร้อยได้เวลาเริ่มต้นทดสอบ

โดยเปิดเครื่องburnหลายสิบชั่วโมงก่อนจึงทำการcalibrateภาพจากอุปกรณ์ที่ผมใช้เป็นประจำได้แก่Murideo Six-G เป็นpattern generator เครื่องวัดภาพcolorimeterเป็นKlein K10-A ส่วนspectroradiometerจะเป็นJeti Spectraval1511 ปรับภาพผ่านโปรแกรม Calman Video Pro แผ่นที่ใช้ปรับภาพHDRได้แก่แผ่น HDR-10 UHD Test Patterns จาก Diversified Video Solutions, THX Calibrator Blu-ray Disc, Spears & Munsil UHD HDR Benchmark UHD Blu-ray Disc

สำหรับหลักการในการปรับเครื่องlaser TVก็คืออย่าปรับค่าต่างๆจากค่าโรงงานมากเกินไปเนื่องจากจะมีผลต่อความสว่างของภาพ และการปรับค่าสีบางภาพที่มากเกินไปก็จะส่งผลถึงGrayscaleโดยรวมของภาพด้วย จึงต้องทำการเช็คGrayscaleหลังการปรับColor Gamutด้วยอีกครั้ง สำหรับPicture Modeที่แนะนำ ถ้าเป็นการดูในห้องนั่งเล่นทั่วไปที่ไม่สามารถคุมแสงการใช้เป็นStandardจะเหมาะสม แต่ถ้าห้องคุมแสงได้และต้องการความถูกต้องของสีใกล้เคียงมาตรฐานใช้Cinema nightก็จะให้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น ถ้าห้องมีแสงมากหรือต้องการความสว่างสูงขึ้นไปอีกก็อาจจะต้องใช้Picture Modeที่เป็นDynamicแทน

ความกว้างของเฉดสี DCI-P3 วัดได้อยู่ที่ 84.67% ส่วน BT.2020วัดได้ 64.97%

การปรับภาพโดยเมนูที่อยู่ในเครื่องHisense L5นั้นมีความละเอียดมากกว่าโปรเจคเตอร์ทั่วไป อย่างเช่นการปรับWhite Balanceสามารถเลือกปรับได้ละเอียดถึง 20จุด

สำหรับค่าGamma(EOTF) ก็สามารถปรับละเอียดทุก 5%

อีกอย่างที่ไม่พบในโปรเจคเตอร์ทั่วไปในการปรับภาพก็คือ RGB Only Mode ซึ่งปกติจะพบอยู่ในทีวีบางตัวเท่านั้น Functionนี้เอาไว้ปรับค่าColorให้ภาพออกมามีความเข้มของสีใกล้เคียงมาตรฐาน ถ้าเป็นยุคก่อนการปรับก็จะเป็นการมองภาพผ่านแว่นสีน้ำเงินหรือแผ่นฟิลเตอร์สีน้ำเงินที่แถมมากับแผ่นปรับภาพ แต่ถ้ามีmodeนี้อยู่ในทีวีก็จะสะดวกและเชื่อถือได้มากกว่าเนื่องจากความเข้มของแผ่นฟิลเตอร์จะซีดลงเมื่อเวลามากขึ้น สำหรับวิธีการปรับmodeนี้แค่หาแผ่นBlu-rayที่ใช้ในการปรับภาพ เลือกภาพที่ใช้ในการปรับcolor(ปกติก็จะเป็นสีน้ำเงิน) เสร็จแล้วก็เลือกเมนูในทีวีเป็นBlue Only Mode ปรับค่าcolorขึ้นลงจงตัวหนังสือหรือเครื่องหมายบนหน้าจอมีความเข้มของสีน้ำเงินเท่ากันทั้งภาพ แค่นี้ก็จะได้ความเข้มของcolorถูกต้องเหมือนมาตรฐานที่ควรจะเป็น

Hisense L5เป็นSmart TVใช้ระบบปฏิบัติการVIDAA U รองรับแอพยอดนิยมมากมายเช่น Netflix, YouTube, Prime Video, VUDU, แอพทั่วโลกมากกว่า 200แอพ และ60แอพระดับภูมิภาพ สามารถสลับการรับชมYouTube, Netflixและรายการทีวีง่ายๆโดยกดremoteครั้งเดียว(One-touch-access) หรือจะใช้RemoteNow App เปลี่ยนสมาร์ทโฟนให้เป็นรีโมทคอนโทรล นอกจากนั้นก็ยังใช้ฟังก์ชั่นAnyview Castแชร์ภาพวีดีโอ เพลงจากมือถือสู่ทีวีได้อีกด้วย

เปิดภาพจากแอพที่อยู่ในเครื่องเพื่อดูภาพ จะเห็นว่าภาพที่ออกมามีความสว่างสู้แสงได้ดีมาก มีความสว่างคมชัดสม่ำเสมอเท่ากันทั่วทั้งจอไม่ได้มีความเข้มของแสงด้านล่างมากข้างบนน้อยที่บางทีพบในUltra short throwโปรเจคเตอร์

จอที่คุณภาพสูงทำให้ตัดแสงสะท้อนด้านข้างออกได้มาก แสงเลเซอร์จากโปรเจคเตอร์จึงให้คอนทราสต์ของสีได้เต็มที่

ข้อดีของการดูโปรเจคเตอร์ที่ไม่ต้องปิดไฟหรือปิดม่านทำให้สามารถทำกิจกรรมอื่นๆไปด้วยได้ ไม่ว่าจะอ่านเอกสาร จดบันทึก หรือสันทนาการอื่นๆ ทั้งยังลดอาการเมื่อยล้าดวงตา ถนอมอายุสายตาให้ยืนยาวขึ้นเพราะรูม่านตาไม่ต้องทำงานหนักในการหด-ขยายตลอดเวลาเมื่อสลับการมองระหว่างจอที่สว่างจ้ากับบริเวณอื่นๆที่มืด

อารมณ์การดูlaser TVเหมือนดูทีวีจอใหญ่ แต่ดูแล้วสบายตากว่าเนื่องจากเป็นการมองภาพจากการสะท้อน(In-Direct view) ไม่ได้มองจากแสงที่ส่องมาที่ตาโดยตรง(Direct view) ทำให้สบายตาดูรายการที่ชื่นชอบได้เป็นเวลานานต่อเนื่อง

White Level , Black Level, Contrastและความคมชัดทำได้ดีทำให้ภาพที่ออกมามีมิติด้านความลึกสวยงาม

ให้smooth motionในภาพที่มีการเคลื่อนไหว จึงทำให้ภาพออกมาราบรื่น ชัดเจน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการรับชมกีฬา ภาพยนตร์แอคชั่น รวมถึงการเล่นเกมที่จะไม่ทำให้การเล่นสะดุดหรือตกเป็นรองคู่ต่อสู้

หรือถ้ายังอยากให้ภาพออกมาsmoothมากขึ้นไปอีกก็สามารถปรับที่ฟังก์ชั่นUltra Smooth Motionได้อีกว่าต้องการจะให้ภาพลื่นไหลมากขนาดไหน โดยสามารถปรับได้ตั้งแต่ Off , Smooth, Standard , Clear และ Customแบบให้ปรับเอง

ทดสอบกับภาพยนตร์ในสภาพแสงที่ควบคุมได้ Picture Modeแบบ Night Cinemaจะมีค่าสีใกล้เคียงกับมาตรฐานที่สุด โดยมีสีสันที่สดใสเป็นธรรมชาติ มีความคมชัดตามแบบฉบับDLP คอนทราสต์ของภาพทำได้ดี ภาพมีมิติ ภาพเคลื่อนไหวทำได้ราบรื่นไม่สะดุด เสียงที่ออกมาจากลำโพงก็ให้รายละเอียดดีมีความโอบล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพยนตร์ในระบบDolby Atmos ที่ให้ความรู้สึกว่าเสียงมีความลึกโอบล้อมเหมือนมีลำโพงล้อมรอบตัว

Hisense L5 กับราคาโปรโมชั่นในตอนนี้จาก299,990บาทเหลือแค่ 139,990บาท โดยราคานี้ยังรวมจอภาพขนาด 120นิ้วจากDNP และติดตั้งให้ฟรี ราคาแบบนี้ผมว่าคุ้มมาก ยิ่งได้เห็นคุณภาพของภาพที่ออกมาต้องบอกเลยว่าใครต้องการเลเซอร์ทีวี 4Kที่ให้ภาพขนาดใหญ่ระดับ 120นิ้ว ภาพมีความสว่างคมชัดสม่ำเสมอทั่วจอ ดูได้นานสบายตา จอภาพแบบALRยิ่งช่วยทำให้ภาพมีความสว่างสู้แสงมากขึ้นสามารถวางในห้องนั่งเล่นโดยไม่ต้องปิดไฟดูได้ และเนื่องจากใช้แหล่งกำเนิดแสงแบบเลเซอร์ทำให้มีอายุการใช้งานนานนับสิบปี ประหยัดพลังงาน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผมว่าใครที่มีโปรเจคเตอร์ระดับHi-Endอยู่ในห้องDedicated Home theater อยู่แล้วแต่เวลาไปดูทีวีในห้องนั่งเล่นหรือห้องนอนแล้วรู้สึกว่าจอเล็กไปอยากได้จอใหญ่มากขึ้น คุณภาพของภาพยังคงดีอยู่ และไม่ต้องกลัวเรื่องแสงสว่างจากสิ่งแวดล้อม ผมว่า Hisense L5 Laser TVนี่คือคำตอบ ยังไงลองสัมผัสภาพจริงได้จากบูธขายเครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำทั่วไป หรือติดต่อโดยตรงกับบริษัทเพื่อลองดูภาพจริงได้ ท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางบริษัท Hisense Thailandที่ส่งเลเซอร์ทีวีHisense L5มาให้ทดสอบด้วยครับ

Facebook
Twitter
Email
ดาวน์โหลดบทความ Hisense L5 4K Laser TV 120” (PDF)
Picture of ทพ. พงศ์ทิพจักร์ เชื้อเจ็ดองค์

ทพ. พงศ์ทิพจักร์ เชื้อเจ็ดองค์

หมอเอก หมอฟันผู้มีความหลงไหลชื่นชอบในเรื่องHometheater/Homecinema ด้วยความสนใจใคร่รู้ว่าเสียงและภาพในห้อง Hometheater จริง ๆ แล้วควรจะเป็นอย่างไร เลยลงทุนไปเรียนหลายสถาบันทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น THX, HAA, ISF, CEDIA, PVA, Meyer Sound Training, Smaart Training นอกจากนี้ก็เคยเข้าไปสัมผัสห้องสตูดิโอ และโรงภาพยนตร์ระดับมาตรฐานของโลกหลายแห่งไม่ว่าจะเป็น Stag theater, Kurasawa Dubbing Stage, Skywalker Sound Studio ของ Lucasfilm/ Pearson Theater,Bear’s Labของ Meyer Sound/ Dolby Cinema™ โดยความรู้และประสบการณ์ที่ได้มานั้นก็ได้นำมาเขียนเป็นบทความลงนิตยสาร และทำสื่อมัลติมีเดียออนไลน์เป็นเวลาหลายปี ตอนนี้ก็ได้นำบทความสื่อต่าง ๆ รวมถึงบทความใหม่ ๆ คลิปวิดีโอใหม่ ๆ ที่จะมีขึ้นในอนาคตมารวบรวมกันไว้ที่ website นี้ เพื่อให้ใครที่สนใจในเรื่องของ Hometheater เอาไว้เสริมความรู้ และเผื่อสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ที่อาจจะพบเจอในการเล่นเครื่องเสียงของแต่ละท่านได้