ถ้าพูดถึงSurround Digital Pre-Processor ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในเรื่องคุณภาพของเสียงที่ดี มีความเป็นดนตรีสูง หนึ่งในนั้นที่ต้องพูดถึงก็คือPre-Processorสัญชาติเดนมาร์กของบริษัทSteinway Lyngdorf โดยถ้าพูดถึงชื่อSteinway & Sons เราก็คงคุ้นหูว่าเป็นชื่อยี่ห้อของเปียนโนชื่อดังที่ศิลปินระดับโลกหลายคนมั่นใจในชื่อนี้ ถ้าใครได้ชมภาพยนตร์เรื่อง Green Book คงจะรู้ว่า Dr. Don Shirley(Mahershala Ali) บอกไว้ในภาพยนตร์เลยว่าการแสดงของเขาต้องใช้แต่เปียโนของSteinway & Sonsเท่านั้นเพราะเขามั่นใจในเสียงของเปียโนยี่ห้อนี้มาก ซึ่งสำหรับSteinway & Sonก็มีผลิตภัณฑ์เครื่องเสียงที่ใช้ภายในบ้านหลายตัวทั้งที่เป็นลำโพง Amplifier Pre-processorเรียกได้ว่าครบชุด ตัวที่เป็นรุ่นเรือธงของPre-processorจะเป็นรุ่น P200 มีราคาขายอยู่ที่ 18,000$ โดยจะใช้ได้ร่วมกับระบบของ Steinway & Sonsเท่านั้น ส่วนสำหรับLyngdorf MP-50จะมีราคาย่อมเยาลง(9,999$) โดยทางSteinway Lyngdorfก็ได้นำเอาเทคโนโลยีของP200 ใส่เข้ามาด้วยหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตัวถัง ระบบpower supply เทคโนโลยีการระบายความร้อน รวมไปถึงส่วนสำคัญในระบบคือ RoomPerfect™ calibration และ Room correction system ทั้งยังมีการปรับปรุงให้สามารถใช้กับระบบhome theaterภายในบ้านโดยทั่วไปได้อย่างเหมาะสมและสะดวกสบาย
หลังจากได้รับเครื่องก็เปิดกล่องออกมาทดสอบเลยเพราะเครื่องของLyngdorfนั้นในขั้นตอนสุดท้ายจากโรงงาน เขาจะทำการburn inเครื่องเสียงทุกเครื่อง 48ชั่วโมงก่อนหน้าที่จะทำfinal QA ทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าจะได้เสียงที่ดีคงที่โดยไม่ต้องเสียเวลาเบิร์นเครื่องอีกตั้งแต่แรก หลังจากเปิดกล่องเมื่อยกเครื่องออกมาก็พบว่าตัวเครื่องไม่ได้หนักมาก น้ำหนักที่แจ้งไว้ในspecคือ 10กิโลกรัม เอาง่ายๆว่าขึ้นแท่นขึ้นชั้นคนเดียวยกได้แบบสบาย ขนาดของตัวเครื่องคือ 44×32.5×17.2เซ็นติเมตร ก็ถือว่าใกล้เคียงกับpre-processorทั่วไปไม่ได้ใหญ่แบบเทอะทะมาก ผิวของเครื่องเป็นสีดำผิวด้านเกือบทั้งตัว ยกเว้นด้านหน้ามีผิวกระจกมันสีดำบางส่วน มีปุ่มปรับแค่สองปุ่มเพื่อให้สวยงามดูดี โดยเฉพาะปุ่มปรับVolumeที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติให้ความสะดวกเวลาหมุน ทั้งความลื่นที่ให้ความรู้สึกสัมผัสถึงความเป็นHi-Endของเครื่อง การออกแบบทั่วไปงานประกอบเข้ามุมต่างๆมีความละเอียดประณีต ดูสวยงามมีDesign
Lyngdorf MP-50สามารถรองรับระบบเสียงแบบimmersive surroundใหม่ๆได้หมดไม่ว่าจะเป็น Dolby Atmos® , DTS:X และ AURO3D® และยังมีตัวเลือกเพิ่มเติมเพื่อทำpost processionเสียงให้ออกมาตามต้องการได้อีกเช่น Dolby surround, AURO-MATIC®, DTS NEO:X, DTS neural:X, Stereo party(ทุกช่องออกเป็นสัญญาณstereo) ด้านหลังมีช่องต่อanalog outputแบบFully Balance XLR ใช้ต่อกับลำโพงและSubwoofer 16ช่องที่สามารถส่งข้อมูลช่องเสียงAudioได้ 12nativeหรือunique audio channels เพื่อทำระบบเสียงimmersive surroundแบบ 7.1.4 ส่วนช่องXLRที่เหลืออีก4ช่องก็เพื่อใช้ต่อลำโพงในระบบที่มีลำโพงมากขึ้นเช่น 9.1.6 หรือ 7.3.6เป็นต้น และในปลายปีนี้ทางLyngdorfก็กำลังจะเพิ่มเติมให้เป็น 32channels ส่วนRCA outputนั้นไม่มีในเครื่องรุ่นนี้ สำหรับช่องต่อHDMI inputมี8ช่อง เป็นรุ่น2.0(สามารถupเป็นHDMI2.1ได้) HDCP2.2 รองรับระบบภาพ 3D, 4K UHD ,BT.2020 และHDR10 โดยHDMI boardจะไม่เหมือนกับpre-processorทั่วไป แต่LyngdorfจะเขียนalgorithmsและsoftwareในHDMI boardของตัวเอง ส่วนVideo outputจะมีHDMI สองช่อง เป็นHDMI2.0 HDCP2.2เช่นกัน และอีกช่องจะเป็น HDBaseT Ethernetที่สามารถส่งสัญญาณHD video&audio แบบไม่บีบอัดผ่านสายแลนcat5หรือที่สูงกว่าได้ไกลถึง 300ฟุต แต่ว่าจะต้องใช้ร่วมกับตัวรับสัญญาณ HDBaseT receiverหรือ โปรเจคเตอร์ที่เป็นHDBase T สำหรับdigital inputที่นอกเหนือจากHDMIจะมีอีก 9ช่องต่อได้แก่ AES/EBUเพื่อใช้ต่อกับdigital cinema serverอยู่หนึ่งช่อง, S/P-DIF coaxialสามช่อง, opticalสี่ช่อง, มีUSBอีกสองช่องที่สามารถเล่นไฟล์เพลงและsoftware updates, แต่ช่องanalogue inputsนั้น MP-50ไม่มีครับ สำหรับช่องต่ออื่นๆที่มีคือช่องต่อไมค์เพื่อใช้ในการAuto-Calibrationแบบ RoomPerfect™ โดยจะใช้แบบBalance XLR ส่วนในการเชื่อต่อกับระบบnetworkก็จะต่อผ่านสายLAN RJ45, มีช่องRS-232port เพื่อควบคุมอุปกรณ์ร่วมกับช่อง IR inputs 2ช่อง IR output 1ช่อง, มีtrigger outputs 4ช่องที่สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เครื่องเสียงตัวอื่นๆให้สามารถควบคุมการเปิดปิดเครื่อง และสุดท้ายจะเป็นช่องต่อSD cardให้สามารถเก็บbackupข้อมูลsystem settingต่างๆลงไปยังSD cardได้
โดยตัวของMP-50เองจะไม่มีการเชื่อมต่อแบบwirelessในตัวเครื่องแต่สามารถเชื่อมต่อกับระบบnetworkของบ้านโดยการใช้สายLAN RJ45 เมื่อเชื่อต่อเข้าไปในเครือข่ายแล้วอุปกรณ์ที่อยู่ในวงLANเดียวกันก็สามารถเชื่อมต่อMP-50เพื่อควบคุมสั่งการตัวเครื่องได้เต็มรูปแบบ เพียงแค่ใส่ค่าIP addressที่กดดูค่าจากเมนูลงไปที่web browser หรือใช้ระบบ Apple’s Bonjour IP discovery serviceของ OS X operating systemก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้MP-50ก็ยังสามารถใช้งานเป็นmedia player เล่นเพลงระบบstereo หรือup-mixed surround soundจาก Spotify, Airplay หรือแม้กระทั่งinternet radioผ่านช่องทางnetwork หรือ USB ได้อีกด้วย
สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ร่วมในการทดสอบมีดังนี้ เครื่องเล่นใช้ Pioneer UDP-LX800แยกสัญญาณHDMIเสียงไปเข้ายังLyngdorf MP-50 จากนั้นสัญญาณanalog audioก็จะถูกส่งต่อไปยัง DSP ของMeyer sound รุ่นGalileo408 และBSS รุ่น BLU-160เพื่อควบคุมลำโพงต่างๆ ลำโพงจะเป็นMeyer Soundทั้งชุดได้แก่ลำโพงMainรุ่นAcheron Designer, ลำโพงSurroundทั้งหมดเป็นรุ่นHMS-10 ส่วนลำโพงSubwooferใช้4ตัวเป็นรุ่นX-400C เมื่อทำการต่อสายเชื่อมต่อต่างๆก็ทำการตั้งค่าเบื้องต้นเกี่ยวกับส่วนของการจัดการระบบลงไปในเครื่องLyngdorf MP-50 เริ่มจากSource Managementก็จะเหมือนกับเครื่องทั่วไปที่เป็นการจัดการสัญญาณขาเข้าว่ามาจากช่องต่อไหน สามารถตั้งชื่อ กำหนดVolumeตอนเริ่มต้น ตั้งLipsync ตั้งค่าDefaultต่างๆของเสียงได้ ต่อมาก็จะเป็นการกำหนดSpeaker และRoomเพื่อเป็นการบอกกับเครื่องว่าระบบนี้ใช้ลำโพง Subwooferกี่ตัว ขนาดเท่าไร ตำแหน่งวางลำโพงอยู่ตรงไหนบ้าง จะใช้Bass Managementแบบไหน ซึ่งในPre-processorของLyngdorfก็จะใช้ชื่อกำหนดขนาดลำโพงและconfigurationลำโพงต่างจากเครื่องอื่นๆคือ
- None = outputนี้ไม่ได้ใช้
- XXL = ปล่อยสัญญาณfull range และLFEไปสู่ลำโพงหลัก ใช้สำหรับระบบที่ไม่ได้ต่อSubwoofer
- XL = ปล่อยสัญญาณfull range
- L = ตัดความถี่ต่ำที่ 40Hz
- M = ตัดความถี่ที่ 80Hz
- S = ตัดความถี่ที่ 100Hz
- XS = ตัดความถี่ที่120Hz
- Custom = เลือกตัดความถี่ได้เอง
ส่วนต่อมาคือส่วนที่เป็นส่วนสำคัญและถือเป็นHighlightอย่างหนึ่งของเครื่อง Lyngdorf MP50เลยทีเดียวคือเรื่องของ RoomPerfect™ ซึ่งจะเป็นการจัดการระบบลำโพง ปรับlevelของลำโพงแต่ละตัว และแก้ไขสภาพacousticsของห้องโดยใช้ระบบAuto-calibrationที่ออกแบบและสร้างขึ้นมาจากบริษัทLyngdorfเอง โดย RoomPerfect™จะทำการวัดและเก็บข้อมูลเสียงตรง และเสียงสะท้อนในห้องอย่างน้อยที่สุดสองล้านข้อมูล แล้วนำข้อมูลไปทำmodel 3มิติ ของacousticsภายในห้องที่ได้ชดเชยในส่วนการตอบสนองของพลังงานเสียง ระยะทาง และระดับเสียง ในห้องนั้นๆ ทำให้ตัวโปรแกรมมีความเข้าใจและสามารถทำการแก้ไขacousticsที่ผิดปกติในห้องได้ สิ่งที่โดดเด่นของตัว RoomPerfect™ก็คือวัตถุประสงค์ที่ต้องการรักษาคุณสมบัติทางเสียงหรือtonal characteristicsของลำโพงที่ใช้ในห้องให้คงอยู่ไว้ไม่ไปเปลี่ยนแปลงบุคลิกของลำโพง โดยเทคโนโลยีจะทำการปรับระบบลำโพงให้เข้ากับสภาพของห้องนั้นๆ มากกว่าที่จะปรับเสียงของลำโพงในระบบให้เป็นไปตามtarget curveที่ตั้งไว้ล่วงหน้าเหมือนกับโปรแกรมRoom correctionโดยทั่วไป โดยวิธีการทำ RoomPerfect™ก็เริ่มจากต่อไมค์ที่ให้มากับเครื่องMP-50ในช่องไมค์input balance XLR ทำการตั้งค่าลำโพงต่างๆตามปกติ วัดค่าdistance ของลำโพงโดยอาจจะใช้สายวัด, laserยิงวัดระยะ หรือจะใช้เครื่องมือหาdistanceหรือdelayภายนอกมาใช้ก็ได้ แล้วใส่ค่าdistanceของลำโพงแต่ละตัวเข้าไปยังเครื่องMP-50 เปิดเมนู RoomPerfect™ แล้วก็ทำตามขั้นตอนที่แจ้งตามหน้าจอได้เลย สำหรับการวางไมค์เพื่อวัดเสียงทางLyngdorfได้แนะนำเทคนิคไว้ว่าในตำแหน่งนั่งฟังหลักหรือที่ทางLyngdorfเรียกว่าFocus Positionนั้น ความสูงของไมค์ต้องอยู่ในระดับหูของผู้ฟัง วางตรงตำแหน่งนั่งฟังหลักหันไมค์ตรงๆตามทิศทางลำโพง เสร็จแล้วจึงเป็นการวัดความดังของลำโพงเพื่อตั้งความดังของลำโพงให้ดังเพียงพอสำหรับการวัด แต่ต้องไม่ดังจนเกินไปเพราะนอกจากจะทำให้หนวกหูในเวลาcalibrateนานๆแล้วก็ยังอาจส่งผลเสียหายต่อลำโพงได้ สิ่งที่ผมชอบอย่างหนึ่งของ RoomPerfect™ในLyngdorf ก็คือเสียงnoiseที่ใช้ ไม่ได้เป็นเสียงpink noise ซ่าซ่า…ที่หลายค่ายใช้ แต่เป็นเสียงตามธรรมชาติเช่นเสียงคลื่น เสียงเครื่องดนตรี ทำให้โปรแกรมมีความน่าใช้และไม่ล้าหูเวลาต้องทำการcalibrateนานๆ ส่วนสำหรับในห้องที่มีเสียงรบกวนมาก หรือไม่สามารถเปิดVolumeให้ดังตามต้องการได้ผู้ใช้ก็ไม่ต้องกังวลใจว่าจะมีผลเสียต่อการเก็บข้อมูลนั้น ทางLyngdorfบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีปัญหาต่อคุณภาพเสียงที่ RoomPerfect™ทำออกมาแต่ประการใด เพียงแต่มันอาจจะต้องใช้เวลานานขึ้นในขั้นตอนcalibrationแค่นั้นเอง
ได้เวลาเริ่มทำ RoomPerfect™แล้ว หลังจากนั่งฟังเสียงเครื่องดนตรีซักพักกำลังเคลิ้ม โปรแกรมก็เสร็จการวัดในตำแหน่งFocus Position ขั้นต่อไปก็จะต้องย้ายไมค์ไปวัดในตำแหน่งอื่นๆที่เรียกว่าRandom Room Positionเพื่อทำการเก็บข้อมูลลักษณะทางด้านacousticsของห้อง โดยตำแหน่งrandom positionนั้นต้องสุ่มวัดกระจายตำแหน่งต่างๆภายในห้องฟังทั้งตำแหน่งความสูง ตำแหน่งวางซ้ายขวาหน้าหลัง เราก็สุ่มทั่วห้อง ไม่ได้เฉพาะในพื้นที่การฟังเท่านั้นแต่ต้องระวังหน่อยว่าไมค์ต้องไม่มีอะไรบังหรือไม่วางหลังเฟอร์นิเจอร์ใดๆ โดยการวางไมค์ก็ควรอยู่ห่างผนังต่างๆเกินกว่า 50เซนติเมตร ห่างกับลำโพงคู่หน้ามากกว่า 1เมตร ห่างจากตำแหน่งเดิมที่วัดมากกว่า 50เซนติเมตร และตำแหน่งวัดไม่ควรจะทำรูปแบบสมมาตรกัน เมื่อทำการวัดตำแหน่งต่างๆจนได้ค่า RoomKnowledgeของห้องมากกว่า 90% แล้ว ก็สามารถเลือกได้ว่าจะวัดต่อไป หรือทิ้งไว้เพื่อวัดเพิ่มเติมทีหลังก็ได้ แต่ทางLyngdorfแนะนำว่าพอได้ 90%แล้วก็ควรทำการวัดอีกสองสามตำแหน่งที่ไมค์อยู่ห่างผนังไม่เกิน 50เซนติเมตร เพื่อให้โปรแกรมเข้าใจสภาพacousticsของห้องเพิ่มมากขึ้น และถ้าจะให้ดีค่าRoomKnowledgeก็ควรจะเกินกว่า 95% เพื่อให้ผมลัพธ์ของเสียงที่ปรับแล้วออกมามีความแม่นยำมากที่สุด อย่างในห้องผมที่ทดสอบนี้วัดทั้งหมด 8ตำแหน่ง ได้RoomKnowledgeออกมา 99% ใช้เวลาทั้งหมดประมาณชั่วโมงหน่อยๆก็เสร็จเรียบร้อย และหลังจากที่ได้ทำ RoomPerfect™แล้ว ใครที่ต้องการปรับmanualเพิ่มเติมก็สามารถทำต่อได้ในVoicing tool ซึ่งจะสามารถปรับในส่วนfilterของEQได้8filters ในแต่ละsource รวมถึงสามรถปรับเปลี่ยนfrequency response, gain และความชันต่างๆของcrossoverตามที่ต้องการ แต่การปรับในส่วนที่ละเอียดและadvanceมากกว่านี้เพื่อแก้ไขสภาพห้องที่ผิดปกติมาก หรือsystemที่มีความไม่สมบูรณ์ตัวLyndorfก็ยังไม่สามารถให้เข้าไปปรับแก้ได้มากนักหลังจากทำ RoomPerfect™แล้ว
เริ่มทำการทดสอบเสียงหลังจากทำRoomPerfect™ เสร็จแล้ว อย่างแรกที่ทดสอบก็คือเพลงจากภาพยนตร์เรื่อง Star is Born เป็นแผ่น 4K HDR ระบบเสียงDolby Atmos เริ่มแค่ฉากIntro เสียงก็ให้ความยิ่งใหญ่ เสียงความถี่ต่ำของกลองมาแบบเต็มที่ทั้งหนักแน่น อลังการ ให้บรรยากาศเหมือนกับไปอยู่ในคอนเสิร์ตจริงๆ เสียงกีตาร์ให้ความรู้สึกถึงความมันความมีชีวิตชีวาได้อย่างดี ฟังต่อไปถึงเพลงShallowเพลงเอกของหนังเรื่องนี้ที่โชว์พลังเสียงของLady Gaga ฟังแล้วยอมรับเลยว่าLyngdorf MP-50ให้เนื้อเสียงของคนร้องได้เนียน ละเอียด สมจริง ยิ่งช่วงที่เสียงกระแทกและกระชากขึ้นเสียงสูงของLady Gagaนั้นเสียงที่ออกมาไม่มีความหยาบหรือเสียงแตกพร่าให้ได้ยินเลย เรียกได้ว่าสะกดให้อยู่ในมนต์น้ำเสียงของเธอได้อย่างสมบูรณ์ หลังจากนั้นก็ได้ลองเสียงจากภาพยนตร์เพลงอีกหลายแผ่นไม่ว่าจะเป็น Bohemian Rhapsody, The Greatest Showman และอีกหลายๆเรื่อง ซึ่งเสียงเพลงจากภาพยนตร์ที่ออกมาดีมากเช่นกัน ไม่เสียชื่อpre-processorที่มีพื้นฐานมาจากดนตรีเลยจริงๆ สำหรับคอนเสิร์ตก็ได้ลองอีกหลายแผ่น แผ่นที่ประทับใจมากก็จะเป็นของคอนเสิร์ตMetallica ชุดThrough The Neverที่เป็นระบบเสียงDts-HD Master Audio 5.1 ถึงแม้ตัวคอนเสิร์ตจะไม่ได้เป็นเสียงแบบimmersive sound แต่เสียงที่ออกมาแบบตรงๆโดยไม่ทำup-mixingไปยังลำโพงอื่นก็ให้เสียงที่โอบล้อมเสมือนจริง ประมาณว่าแผ่นimmersive soundแท้ๆบางแผ่นสู้ไม่ได้เลย ยกตัวอย่างเช่นในtrackเพลง One ช่วงเริ่มต้นที่มีSound effectเสียงระเบิด เสียงเครื่องบินผ่านหัวนั้นทำได้อย่างต่อเนื่องไร้รอยต่อ จุดเด่นของแผ่นนี้อีกอย่างหนึ่งก็คือเสียงเบสที่แน่น กระชับฉับไว โดยเฉพาะเสียงความถี่ต่ำจากกลอง2กระเดื่องที่หนักหน่วง การรัวเท้าของLars Ulrich อย่างรวดเร็วอย่างกับปืนกล เสียงที่ออกมานั้นมีความชัดเจนแบบเก็บได้หมดชนิดไม่บวมเบลอ พอมาถึงเสียงกีตาร์ที่ต่ำ หนักแน่น เสียงการตะเบ็งเสียงร้องที่ออกมาแหบๆแตกๆในแบบของJames Hetfieldนั้น Lyngdorf MP-50ได้แสดงความสามารถในการส่งเสริมให้ลำโพงMeyer Sound Acheronได้โชว์ศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ ฟังดูแล้วเหมือนได้เข้าไปอยู่ในคอนเสิร์ตจริงยังไงยังงั้น ยิ่งได้บรรยากาศขึ้นไปอีกเมื่อรู้ว่าคอนเสิร์ตจริงใช้ลำโพงMeyer SoundในการแสดงโดยมีการทำSound Design and Optimization โดยBob McCarthyสุดยอดปรมาจารย์ด้านphaseที่ผมเคยเรียนด้วยแล้ว ยิ่งเสริมให้ดูคอนเสิร์ตนี้มันขึ้นไปอีก
มาถึงในเรื่องภาพยนตร์ Lyndrof MP-50ก็ทำได้ดีไม่แพ้เสียงจากดนตรีและคอนเสิร์ต อย่างในหนังเรื่องBumblebee 4K Ultra HD Blu-ray ระบบเสียงDolby Atmos เสียงที่ได้ยินจากLyngdorf MP-50นั้นเสียงimmersive soundทำได้ออกมาดีมาก อย่างเสียงเครื่องยนต์เจทที่บินไปมาซ้ายขวาหน้าหลังนั้นมีfocusของเสียงที่ชัดเจน เสียงเศษสิ่งของที่ปลิวข้ามหัวไปมาหลังจากถูกระเบิดมีความเป็นenveloping soundล้อมรอบตัว ความถี่ต่ำที่ออกมาแน่น กระชับ ไม่มากจนเกินพอดี ที่เด่นอีกอย่างคือการมีClarityของเสียง เช่นเสียงพูดของตัวละครมีความชัดเจน สดใส มีพลัง อย่างเสียงพูดของCybertronที่ให้เสียงใหญ่โตมีความก้องกังวานของเสียง ดูแล้วทำให้จินตนาการถึงความใหญ่ของแหล่งกำเนิดเสียงได้เลย หรืออย่างเรื่องAquamanก็เช่นเดียวกัน Lyngdorf MP-50ให้เสียงDolby Atmosได้ตื่นตาตื่นใจตั้งแต่ฉากแรกที่มีเสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่า พร้อมเสียงของฝนที่ดังกระหึ่มไปทั่วห้อง ฉากที่อยู่ใต้น้ำก็ทำเสียงimmersiveได้ดีให้ความรู้สึกเหมือนเราเข้าไปอยู่ใต้น้ำจริงๆ ความชัดเจนของเสียงพูด การแสดงอารมณ์ในเสียงพูด และการแพนเสียงข้ามหน้าจอไปมาทำได้ดี เสียงความถี่ต่ำที่ลึกในหนังเรื่องนี้ก็แสดงออกมาได้อย่างชัดเจน เที่ยงตรง แม่นยำ ไม่มีลักษณะออกมาคลุมเครือหรืออื้ออึงจนฟังไม่รู้เรื่อง นับว่าMP-50ตัวนี้ให้น้ำเสียงที่ยอดเยี่ยมสำหรับการชมภาพยนตร์ไม่แพ้เรื่องของดนตรีเลย
สรุปแล้ว Lyngdorf MP-50เป็นPre-processor ที่ราคาไม่แรงมากแต่ให้คุณภาพของเสียงที่ออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งเสียงเพลง เสียงดนตรีจนไปถึงเสียงจากภาพยนตร์ก็ทำได้โดดเด่นมาก การใช้งานและติดตั้งไม่ยุ่งยากผู้ใช้สามารถติดตั้งและใช้RoomPerfect™ ที่ทำได้เอง โดยเสียงที่ออกมาหลังจากทำก็ให้เสียงที่ดีแทบจะไม่ต่างจากการManual CalibrationโดยSound Calibratorมืออาชีพไม่เหมือนโปรแกรมAuto-calibrationในอดีตที่เวลาทำออกมาแล้วทำให้คิดว่าไม่ทำจะดีกว่าเสียอีก โดยตัวRoomPerfect™นี้จะช่วยส่งเสริมให้ลำโพงที่ใช้อยู่สามารถแสดงศักยภาพในห้องนั้นๆได้เต็มที่โดยไม่ได้เปลี่ยนบุคลิกของลำโพงแต่อย่างไร ซึ่งนับได้ว่าLyngdorf MP-50เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอีกตัวในตลาดPre-processor Hi-Endปัจจุบัน ใครกำลังตัดสินใจเลือกPre-processorในระบบImmersive Soundผมแนะนำให้ลองฟังเสียงLyngdorf MP-50และดูประสิทธิภาพก่อนตัดสินใจ เพื่อเปิดมุมมองและประสบการณ์ใหม่กับเสียงที่ได้จากPre-processorตัวนี้ครับ