Review

Search

Valerion VisionMaster

ผมได้รับโอกาสให้ทดลองใช้งานโปรเจคเตอร์รุ่นล่าสุดจาก Valerion VisionMaster ทั้งหมดสามรุ่น ได้แก่รุ่นเรือธง VisionMaster Max รุ่น VisionMaster Pro2 และรุ่น VisionMaster Plus2 ซึ่งต้องยอมรับตามตรงว่าก่อนหน้านี้ผมยังไม่คุ้นเคยกับแบรนด์นี้เท่าไหร่ จึงเริ่มต้นด้วยการหาข้อมูลพื้นฐานตามปกติ แต่ทันทีที่เริ่มค้นคว้า ต้องบอกเลยว่าความรู้สึกเหมือนเปิดโลกผมขึ้นมาทันที เพราะโปรเจคเตอร์ของ Valerion ได้รับความนิยม มีรีวิวจำนวนมาก และมียอดจองสูงอย่างน่าทึ่งตั้งแต่ก่อนวางจำหน่ายจริงเสียอีก มาดูกันว่าทำไมโปรเจคเตอร์รุ่นนี้ถึงถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง

ที่บอกว่าเปิดโลกของผมเลยก็เพราะว่าใส่featureแบบจัดเต็ม ประมาณว่าอยากให้โปรเจคเตอร์ในปัจจุบันเป็นอย่างไร ตัวนี้อัดมาให้แบบครบถ้วน ตั้งแต่เป็นโปรเจคเตอร์ 4K UHD ที่มีแหล่งกำเนิดแสงเป็นเลเซอร์แม่สีหลักสามสีตรงๆหรือที่เรียกว่าRGB Tripple Laser Projector ซึ่งบริษัทแจ้งว่าสามารถแสดงสีครอบคลุมได้กว้างถึงระดับ110%ของRec2020 อยากได้สว่างๆใช่ไหมจัดไปตัวMaxทำความสว่างได้ 3,500 ISO Lumen, Pro2 3,000 ISO Lumen, Plus2 2,000 ISO Lumen สว่างขนาดนี้ฉายจอใหญ่ระดับ 300นิ้วได้สบาย อยากให้ดูหนังDolby Visionได้ใช่ไหม ก็จัดไปเลยรองรับทั้ง Dolby Vision, IMAX Enhanced, HDR10+, Film maker mode ระบบภาพDLPภาพไม่ดำใช่ไหม ตัวMaxจัดไปเลยcontrast 50,000:1 ส่วนตัว Pro2,Plus2ก็จะลดลงเป็น 15,000:1 และ 10,000:1 โดยเฉพาะตัวVisionMaster Maxที่มีระบบDynamic Irisปรับเปลี่ยนขนาดช่องรับแสงที่ออกมาจากเลเซอร์โดยอัตโนมัติแบบเรียลไทม์ตามฉากที่กำลังแสดงผลบนหน้าจอทำให้ภาพดำลึกขึ้น คอนทราสต์ดีขึ้น การเปลี่ยนฉากดูแล้วราบรื่นโดยไม่รบกวนสายตา แถมมีระบบEnhanced Black Level(EBL)ถ้าต้องการเพิ่มcontrastของภาพเข้าไปอีก ใครดูหนังระบบDLPแล้วเกิดRainbow effectตัว VisionMaster Maxใส่ระบบAnti-Rainbow Effectมาให้ พร้อมช่วยลดSpeckleที่มักจะเกิดจากแหล่งกำเนิดแสงlaserเข้าไปอีก อยากเอาไปเล่นเกมส์โปรเจคเตอร์ตัวนี้มีinput lagแค่ 4ms ที่1080P240Hz , 15ms ที่4K 60Hz ภาพคมเลนส์ต้องดีจัดไปชุดเลนส์แก้วแท้พร้อมระบบ NoirScene Systemที่ให้รายละเอียดครบถ้วนแม้ในส่วนที่มืดของภาพ และอีกไม่นานก็จะปล่อยอุปกรณ์เสริมที่เป็นanamorphic lensสำหรับใครที่ชอบดูหนังสัดส่วน21:9 แล้วใช้เลนส์เพื่อช่วยเพิ่มความสว่างของภาพเนื่องจากไม่ต้องสูญเสียpixelที่ปล่อยให้เป็นแถบสีดำไปคงถูกใจแน่ หรือใครอยากได้แบบsmart TVที่มีแอปต่างๆอยู่ในเครื่อง โปรเจคเตอร์ตัวนี้ก็ทำได้และก็สามารถลงแอปต่างๆได้เหมือนsmart TVในปัจจุบันแถมตัวVisionMaster Max port LANก็รองรับความเร็วถึงระดับGigabitคราวนี้ดูหนังรายละเอียดสูงๆที่streamingมาได้ไหลลื่นแน่ๆ ยังยังไม่พอใครที่ยังมีความชื่นชอบในหนังแบบสามมิติ โปรเจคเตอร์ตัวนี้ก็ยังรองรับภาพแบบสามมิติได้ด้วย และก็ยังมีคุณสมบัติเจ๋งๆอีกหลายอย่างที่กล่าวไม่หมดในที่นี้ ใครสนใจก็สามารถหาอ่านเพิ่มได้บนwebsiteของทางValerionได้

นอกจากจะอัดแน่นไปด้วยฟีเจอร์และเทคโนโลยีล้ำสมัยแล้ว ราคาของโปรเจคเตอร์แต่ละรุ่นก็ถือว่ายังอยู่ในระดับที่จับต้องได้ สำหรับVisionMaster Max ตัวท็อปราคาอยู่ในช่วงแสนกลาง และราคาไม่เกินแสนสำหรับรุ่นVisionMaster Pro2 โดยราคาโปรโมชั่นที่แน่นอนสามารถสอบถามทางตัวแทนจำหน่ายได้เลย

คราวนี้ถึงเวลาที่จะได้แกะกล่องและสัมผัสเครื่องจริงของValerion สำหรับกล่องของรุ่นVisionMaster Maxจะเป็นกล่องทรงลูกเต๋าที่ออกแบบมาอย่างสวยงาม ส่วนอีกสองรุ่นจะบรรจุในกล่องโฟมที่มีลักษณะคล้ายกับกระเป๋าเดินทางใบเล็ก อุปกรณ์ภายในกล่องจะเหมือนกันทั้งสามรุ่น แตกต่างกันที่รุ่นVisionMaster MaxจะมีสายHDMIของValerionแถมมาให้หนึ่งเส้น รูปร่างของโปรเจคเตอร์มีขนาดกะทัดรัดและไม่ใหญ่จนเทอะทะ การออกแบบดูดีมีสไตล์จนได้รับรางวัลRed Dot Design Award 2025 ขนาดของเครื่องทั้งสามรุ่นเท่ากันที่ 26 x 18.6 x 21.6 เซนติเมตร โดยมีน้ำหนัก 7.5 กิโลกรัม ความแตกต่างมีเพียงสีของเครื่องเท่านั้น โดยรุ่นMaxจะมีแผงหน้าสีดำ รุ่นPro2เป็นสีเทา และรุ่นPlus2จะเป็นสีขาว

เมื่อแกะกล่องเสร็จ ผมก็จัดการติดตั้งโปรเจคเตอร์ทั้งสามรุ่นลงบนชั้นวางได้อย่างง่ายดาย ไม่ซับซ้อนเลย โดยเฉพาะรุ่น VisionMaster Max ที่โดดเด่นด้วยความยืดหยุ่นในการติดตั้ง สามารถปรับเลนส์ในแนวตั้ง (vertical lens shift) ได้มากถึง 105% ไม่ว่าจะเลือกแขวนไว้บนเพดานหรือวางบนโต๊ะกาแฟหน้าจอ ก็ปรับตำแหน่งให้ลงตัวได้อย่างสะดวก ส่วนรุ่น Pro2 และ Plus2 จะต้องอาศัยการปรับมุมก้มเงยของตัวเครื่องเพื่อให้ภาพตรงกับจอมากขึ้น

อีกทั้งโปรเจคเตอร์ทุกตัวมาพร้อมระบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นการปรับโฟกัส (Auto Focus) การปรับสี่เหลี่ยมภาพ (Auto Keystone) หรือแม้แต่การซูมภาพให้พอดีกับขนาดจอ ซึ่งจากที่ได้ทดลองใช้งานจริง พบว่าทำงานได้ดีและให้ผลลัพธ์น่าประทับใจ อย่างไรก็ตามถ้ามีการshiftภาพมากๆฟังก์ชันอัตโนมัติบางอย่างอาจไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ

หลังจากติดตั้งโปรเจคเตอร์เรียบร้อยแล้ว ผมก็เริ่มต้นขั้นตอนเบิร์นเครื่องสักพักก่อนจะเข้าสู่กระบวนการปรับแต่งภาพ (calibrate) โดยอุปกรณ์ที่ใช้ ได้แก่ Spectrophotometer Jeti รุ่น spectraval1511 สำหรับวัดค่าสีและทำโปรไฟล์ให้กับ Colorimeter Klein รุ่น K-10A พร้อมใช้ Murideo Seven-G 8K เป็นเครื่องสร้างแพตเทิร์นภาพ และโปรแกรมที่ใช้ได้แก่ Calman Video Pro จาก portrait displays

สิ่งที่ผมอยากตรวจสอบก่อนเลยคือ โปรเจคเตอร์รุ่นนี้ใช้แหล่งกำเนิดแสงแบบ Triple-Laser ตามที่แจ้งไว้จริงหรือไม่ เพราะโดยทั่วไปแล้วโปรเจคเตอร์ตามบ้านจะใช้เลเซอร์สีเดียวแล้วแปลงเป็นแม่สีอื่น ผมจึงใช้เครื่อง Jeti spectraval1511 ซึ่งเป็น spectroradiometer ในการวัด Spectral Power Distribution (SPD) ผลลัพธ์ที่ได้ก็ชัดเจนว่าเครื่องนี้ใช้แหล่งกำเนิดแสงเลเซอร์สามหลอดจริง โดยค่า SPD ของสีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน มีค่าสูงทั้งหมด

การcalibrationสำหรับโปรเจคเตอร์Velerion VisionMasterทั้งสามเครื่องที่ผมได้ทดลองทำ พบว่าไม่ยุ่งยาก เนื่องจากการตอบสนองต่อการปรับสีแต่ละสีค่อนข้างตรงไปตรงมา และมีความเป็นlinearityที่ดี การกระจายตัวของสีในแต่ละระดับความเข้มและความสว่างทำได้อย่างเหมาะสม ตัวอย่างกราฟนี้เป็นข้อมูลของรุ่นMaxโดยผมเลือกใช้Cinema modeในการปรับค่า ซึ่งพบว่ามีการปรับเพียงเล็กน้อยแต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็เข้าใกล้มาตรฐานอย่างมาก สำหรับรุ่นPro2 และPlus2 จากการทดลองปรับค่า พบว่ามีลักษณะคล้ายกับรุ่นMax โดยค่าที่ได้ใกล้เคียงกับรุ่นดังกล่าว แตกต่างกันเพียงความสว่างที่ลดลงเล็กน้อยเท่านั้น

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ผมสนใจคือเรื่องขอบเขตการแสดงสีของโปรเจคเตอร์ โดยทางบริษัทระบุว่าครอบคลุมได้ถึง 110% ของมาตรฐาน Rec.2020 จากประสบการณ์ที่ผ่านมาผมพบว่าโปรเจคเตอร์บางรุ่น แม้จะตั้งค่ามาไว้สูง แต่เมื่อวัดค่าหลังจากcalibrateแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้มักต่ำกว่าที่คาดไว้มาก อย่างไรก็ตามสำหรับ Valerion VisionMaster เมื่อวัดจริงหลังการcalibrate พบว่าขอบเขตสี Rec.2020 ทำได้มากกว่า 98% ซึ่งถือว่าเครื่องนี้สามารถแสดงสีได้กว้างและแม่นยำทีเดียว

เมื่อได้ทดลองใช้งานโปรเจคเตอร์ Valerion VisionMaster จริง ต้องบอกเลยว่าฟังก์ชันต่างๆ ครบครันสมกับที่โฆษณาไว้ เปิดเครื่องปุ๊บสามารถเชื่อมต่อกับระบบ LAN หรือ Wi-Fi ที่บ้านได้ทันที ภายในเครื่องมีแอปสำหรับดูหนังฟังเพลงมาให้พร้อม และยังสามารถติดตั้งแอปเพิ่มเติมได้เหมือนกับสมาร์ตทีวีทั่วไป นอกจากนี้ยังมีลำโพงในตัว ซึ่งผมลองปรับระดับเสียงไว้ที่ 15 จาก 100 ก็พบว่าเสียงดังกระหึ่มทั่วห้อง น่าประทับใจมาก เพราะขนาดเครื่องดูเล็กกระทัดรัด แต่ให้เสียงที่ทรงพลังเกินตัวอย่างเหลือเชื่อ

ในส่วนของภาพ ผมได้ทดสอบฉายลงบนจอ Stewart FireHawK G5 อัตราส่วน 2.35:1 ขนาด 150 นิ้ว พบว่าหากฉากมีสีขาวมากๆ จะสังเกตเห็นจุด speckle อยู่บ้าง ซึ่งเป็นผลมาจากเนื้อจอที่เคลือบเม็ดทรายเล็กๆ เพื่อเพิ่มการสะท้อนแสง ผมคิดว่าโปรเจคเตอร์รุ่นนี้น่าจะเหมาะกับจอแบบ Matte White /จอAcoustic transparent Screen หรือจอ ALRบางรุ่น ที่มีผิวเรียบมากกว่า เพราะจะได้ภาพที่เนียนและสว่างยิ่งขึ้น

แต่สิ่งที่ประทับใจมากที่สุดใน VisionMaster Max คือปุ่ม RBE Reduction เพราะปกติเมื่อดูภาพจากโปรเจคเตอร์ที่ใช้เทคโนโลยี DLP มักจะเจอกับอาการเห็นแถบสีรุ้งขณะเปลี่ยนฉาก (Rainbow Effect) แม้ว่าโปรเจคเตอร์รุ่นใหม่ๆ จะลดปัญหานี้ไปมาก แต่ผมก็ยังพอเห็นอยู่บ้าง ทว่าทันทีที่ใช้ฟังก์ชัน RBE Reduction ต้องบอกเลยครับว่าอาการนี้หายไปหมด ไม่เห็นแถบสีรุ้งอีกเลย ถือเป็นฟีเจอร์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ

เริ่มต้นทดลองรับชมภาพจากแอป YouTube ด้วยคลิป 4K HDR ต้องบอกเลยว่าคอนทราสต์ของภาพโดดเด่นมาก สีดำที่ได้เป็นดำสนิท ไม่ใช่ดำแบบเป็นฝ้าขาวที่มักเจอในโปรเจคเตอร์ DLP ทั่วไป อีกทั้งยังมีฟังก์ชัน Enhance Black Level ที่ช่วยเสริมให้คอนทราสต์ของภาพโดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีก สำหรับเนื้อหาที่มีการเปลี่ยนฉากสว่างฉากมืดบ่อยๆ ภาพจะต้องประมวลผลเพื่อปรับคอนคราสต์ให้เหมาะสมในแต่ละฉาก แต่ก็ทำได้ค่อนข้างสมูท แต่ถึงจะตั้งฟังก์ชันนี้เป็นoff คอนทราสต์ที่ได้ก็ยังถือว่ายอดเยี่ยมมากอยู่ดี ที่ผ่านมาผมเคยเห็นโปรเจคเตอร์ DLPที่ให้สีดำลึกระดับนี้มีแต่ราคาสูงกว่าเจ็ดหลักทั้งนั้น สำหรับรายละเอียดและความคมชัดของภาพ โปรเจคเตอร์ที่ใช้เทคโนโลยี DLP ก็มีจุดเด่นในด้านนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อผสานกับระบบเลนส์คุณภาพสูงและแหล่งกำเนิดแสงเลเซอร์ที่แม่นยำ ภาพที่ถ่ายทอดออกมาจึงคมชัด สดใส และดูเป็นธรรมชาติมาก

สิ่งที่ผมตั้งตารอมากคือการได้เห็นภาพ Dolby Vision บนโปรเจคเตอร์ ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยเจอโปรเจคเตอร์รุ่นไหนที่รองรับ Dolby Vision ได้เต็มรูปแบบ ทั้งเรื่องขอบเขตสี Rec.2020 ที่ครบ100% และรายละเอียดสีระดับ12bit ส่วนใหญ่จะเห็นฟีเจอร์เหล่านี้บนทีวีเสียมากกว่า เมื่อได้ลองเปิดภาพยนตร์แอนิเมชัน Inside Out 2 (2024) ในระบบ Dolby Vision ต้องบอกเลยว่าความกว้างของสี Rec.2020 เมื่อทำงานร่วมกับแหล่งกำเนิดแสงเลเซอร์นั้น เปล่งประกายสุดๆ สีสันที่ได้มีทั้งความเข้มข้นและความสดใส ถ่ายทอดความรู้สึกถึงไดนามิกของสีที่กว้างขวางราวกับว่าผู้ผลิตใส่สีมาแบบไม่หวงเลยจริงๆ จนอยากจะพูดออกมาว่า”มันช่างจ้าซะเหลือเกิน”

สำหรับใครที่เคยศึกษาหรือมีความรู้เกี่ยวกับ Dolby Vision คงทราบดีว่าข้อได้เปรียบสำคัญของภาพแบบ Dolby Vision เมื่อเทียบกับHDRทั่วไปคือฟีเจอร์ Dynamic Tone Mapping โดยวันนี้ผมได้สัมผัสและเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนว่าDynamic Tone Mappingนี้เหนือกว่า Static Tone Mapping อย่างเทียบกันไม่ติด

Dynamic Tone Mapping จะปรับโทนสีของภาพในแต่ละฉากให้เหมาะสมตามข้อมูลที่ผู้สร้างภาพยนตร์กำหนดมาโดยเฉพาะ ส่งผลให้ค่าความสว่างและคอนทราสต์ของแต่ละซีนแม่นยำสมจริงตามต้นฉบับ ขณะที่ Static Tone Mapping จะใช้curveเดียวกันตลอดทั้งเรื่อง ส่งผลให้บางฉากโดยเฉพาะฉากสว่างหรือฉากมืดอาจสูญเสียรายละเอียดบางส่วน เนื่องจากการปรับค่าไม่เหมาะสมกับทุกสถานการณ์

ยกตัวอย่างเช่น ในภาพยนตร์ Mission Impossible–The Final Reckoning (2025) ฉากที่ถ่ายในใต้ดินที่มืดสนิทและมีแสงสว่างเป็นจุด ๆ รายละเอียดในส่วนที่เป็นเงามืดจะถูกถ่ายทอดออกมาอย่างครบถ้วน สมจริง ไม่มีอาการดำเป็นปื้นหรือรายละเอียดหายไป การไล่ระดับของสีดำทำได้อย่างเนียนตา ภาพรวมจึงสวยงามและช่วยดึงอารมณ์ผู้ชมให้เข้าไปมีส่วนร่วมกับเนื้อเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยม

โดยสรุปแล้ว โปรเจคเตอร์ Valerion VisionMaster ถือว่าเป็นGame Changerของโปรเจคเตอร์4Kยุคใหม่ ด้วยระบบเลเซอร์และเทคโนโลยี DLP ที่ผสานกันอย่างลงตัว ตัวเครื่องมีขนาดกะทัดรัด ติดตั้งง่าย ไม่ยุ่งยาก โดดเด่นด้วยคุณภาพภาพที่ให้ความสว่างและสีสันสดใสได้อย่างน่าประทับใจ อีกทั้งยังถ่ายทอดความดำและคอนทราสต์ที่ยอดเยี่ยม ทำให้เหมาะกับการใช้งานหลากหลาย ไม่ว่าจะดูคอนเทนต์ผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ เล่นเกม หรือชมภาพยนตร์ในบ้าน โดยเฉพาะระบบ Dolby Vision ที่ตอนนี้กลายเป็นมาตรฐานสำหรับหนัง 4K HDR รุ่นใหม่เกือบทุกเรื่อง นอกจากนี้ Valerion VisionMaster ยังอัดแน่นด้วยฟีเจอร์และลูกเล่นที่ครบครัน ตอบโจทย์ความต้องการของโปรเจคเตอร์ยุคปัจจุบันได้อย่างเต็มที่ ในขณะที่ราคายังอยู่ในระดับที่จับต้องได้ หากใครกำลังมองหาโปรเจคเตอร์คุณภาพดี สามารถดูรายละเอียดและภาพตัวอย่างของทั้งสามรุ่น ได้แก่ VisionMaster Max, VisionMaster Pro2 และ VisionMaster Plus2 ได้ที่บริษัท AR Technology หรือสอบถามคุณเอก Acousticwrap รับรองว่าคุ้มค่าและไม่ผิดหวังแน่นอน

Facebook
Twitter
Email
ดาวน์โหลดบทความ Valerion VisionMaster (PDF)
Picture of ทพ. พงศ์ทิพจักร์ เชื้อเจ็ดองค์

ทพ. พงศ์ทิพจักร์ เชื้อเจ็ดองค์

หมอเอก หมอฟันผู้มีความหลงไหลชื่นชอบในเรื่องHometheater/Homecinema ด้วยความสนใจใคร่รู้ว่าเสียงและภาพในห้อง Hometheater จริง ๆ แล้วควรจะเป็นอย่างไร เลยลงทุนไปเรียนหลายสถาบันทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น THX, HAA, ISF, CEDIA, PVA, Meyer Sound Training, Smaart Training นอกจากนี้ก็เคยเข้าไปสัมผัสห้องสตูดิโอ และโรงภาพยนตร์ระดับมาตรฐานของโลกหลายแห่งไม่ว่าจะเป็น Stag theater, Kurasawa Dubbing Stage, Skywalker Sound Studio ของ Lucasfilm/ Pearson Theater,Bear’s Labของ Meyer Sound/ Dolby Cinema™ โดยความรู้และประสบการณ์ที่ได้มานั้นก็ได้นำมาเขียนเป็นบทความลงนิตยสาร และทำสื่อมัลติมีเดียออนไลน์เป็นเวลาหลายปี ตอนนี้ก็ได้นำบทความสื่อต่าง ๆ รวมถึงบทความใหม่ ๆ คลิปวิดีโอใหม่ ๆ ที่จะมีขึ้นในอนาคตมารวบรวมกันไว้ที่ website นี้ เพื่อให้ใครที่สนใจในเรื่องของ Hometheater เอาไว้เสริมความรู้ และเผื่อสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ที่อาจจะพบเจอในการเล่นเครื่องเสียงของแต่ละท่านได้