Review

Search

Become a Perlistener

เมื่อพูดถึงลำโพงยี่ห้อPerlisten หลายคนก็คงไม่คุ้นหูเนื่องจากเป็นลำโพงแบรนด์ใหม่ในตลาดเครื่องเสียงบ้าน กำเนิดมาเมื่อเมษายนปี พ.ศ.2559 หลังจากนั้นก็ได้มีชื่อเสียงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยคุณภาพและลักษณะโดดเด่นของลำโพงทำให้เป็นลำโพงยี่ห้อแรกที่สามารถผ่านการรับรองคุณภาพในระดับDominus ของTHX Certified Performance Classes และก็ได้รับรางวัลด้านเสียงจากสถาบันต่างๆตามมาอีกมากมาย ทำให้ผมมีความตื่นเต้นที่ได้รับการติดต่อเพื่อให้ทดสอบลำโพงคุณภาพสูงแบรนด์นี้ ลองมาดูกันครับว่าลำโพงPerlistenที่กำลังโด่งดังนี้จะสุดยอดขนาดไหน

ผมเคยคุยกับMr. Lars Johansenผู้ร่วมก่อตั้งลำโพงPerlistenเมื่องานCEDIA2022 ซึ่งได้พูดถึงที่มาของลำโพงนี้ว่า เขากับเพื่อนๆวิศวกรและผู้ผลิตลำโพงหลายคนที่เคยมีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนในการทำลำโพงยี่ห้อดังที่เราคุ้นหูกันของเครื่องเสียงบ้าน เครื่องเสียงPA เครื่องเสียงในงานpost productionหลายยี่ห้อ ได้มีแนวคิดร่วมกันที่อยากสร้างลำโพงตัวใหม่เพื่อให้ผู้ฟังได้ประสบการณ์การรับฟังเสียงในระดับสุดยอด ไม่เกี่ยงว่าจะเป็นเสียงดนตรี เสียงจากภาพยนตร์ สำหรับการฟังในห้องทั่วไป การฟังในห้องฟังเพลง ห้องดูหนังหรือการฟังในแบบrecording style โดยยึดพื้นฐานการออกแบบลำโพงตามหลักวิทยาศาสตร์ ผสานกับศิลปะในการสร้างลำโพงที่สั่งสมมาอย่างยาวนานของคนทำลำโพง จึงเป็นที่มาของลำโพงPerlistenที่ย่อมาจากคำเต็มว่า Perceptual Listening Experience

ซึ่งก็น่าจะจริงอย่างที่เขาบอกไว้ เพราะหลังจากลำโพงPerlistenได้ออกสู่ตลาด ก็ได้รับรางวัลต่างๆตามมาอีกมากมาย เข้าไปดูในสื่อsocial mediaก็จะพบกับYoutuber Reviewer นักเล่นเครื่องเสียง พูดถึงลำโพงยี่ห้อนี้กันอย่างกว้างขวาง

ลำโพงPerlistenมีอยู่หลายseries แต่ละseriesก็มีอยู่หลายรุ่น โดยS seriesก็คือSignature series ที่ได้รวมเอาสุดยอดทั้งในเรื่องการออกแบบวัสดุที่ใช้โดยไม่เกี่ยงเรื่องราคาเพื่อให้ได้คุณภาพเสียงออกมาสูงสุดตามที่ต้องการ ส่วนR seriesหรือReference seriesก็จะย่อลงมาจากS seriesหน่อย เพื่อให้ราคาของสินค้าสามารถจับต้องได้มากขึ้น แต่ยังคงลักษณะของเสียงให้เหมือนกับรุ่นใหญ่ไว้มากที่สุด ส่วนSubwooferจะอยู่ในD seriesที่จะมีรุ่นใหญ่นำหน้าด้วยตัวอักษรD และรุ่นที่เป็นReference seriesนำหน้าด้วยอักษรR โดยแต่ละรุ่นก็จะไล่ไปตั้งแต่รุ่นFlagshipที่มีการออกแบบตู้เป็นแบบPush-Pullร่วมกับacoustic suspension ขนาดดอกลำโพงที่ใหญ่ขึ้น จำนวนPower Amplifierที่มากขึ้น

เพื่อให้เสียงออกมาในระดับworld classดังนั้นการออกแบบและวัสดุที่ใช้จึงอยู่ในระดับworld class อย่างลำโพงmidrange และwooferใช้เป็นThin Ply Carbon Diaphragm(TPCD)มีน้ำหนักเบากว่าวัสดุcarbon fiberทั่วไป30%ที่ความหนาเท่ากัน สามารถทำสร้างเสียงได้ลึกต่ำกว่า20Hz ออกแบบพิเศษเป็นหลายชั้นเพื่อเพิ่มความแข็งแรง ลดความเพี้ยน แต่ยังให้เสียงที่ละเมียดละมัยไม่แข็งกระด้าง ส่วนtweeterใช้วัสดุเป็นBerylliumหนึ่งในวัสดุที่แข็งที่สุดที่มนุษย์รู้จัก สามารถสร้างคลื่นเสียงความถี่สูงกว่าที่มนุษย์ได้ยิน มีการคืนตัวที่เร็ว โดยการคืนตัวก็จะมีรูปร่างเหมือนเดิมทุกครั้ง ให้ความแม่นยำไม่มีความเพี้ยน แข็งแรงทนทานและให้เสียงแหลมแบบเปิดเผยแต่ไม่แสบแก้วหู เสียอย่างเดียวราคาแพง

รูปแบบการควบคุมทิศทางของเสียงDirectivity Pattern Control(DPC)เป็นสิ่งที่Perlistenได้ยื่นจดลิขสิทธิ์ไว้ การออกแบบก็ไม่เหมือนกับลำโพงอื่น จะเป็นโดมtweeterแบบBerylliumขนาด 28มม.วางขนาบบนล่างด้วยmidrange ชนิดTPCD Carbon fiberขนาด 28มม. มีการตัดcrossoverเพื่อให้ลำโพงทั้งสามทางทำงานประสานกันในเรื่องของtime, amplitude, phase

จุดสำคัญจุดหนึ่งที่ต้องรู้ในเรื่องการออกแบบของลำโพงPerlistenก็คือ ในแนวดิ่งบนล่าง ความถี่ช่วง900Hz-20,000Hzจะมีการfocusเสียงไปตรงกลางมากกว่าส่วนบนและล่าง เพื่อลดการเกิดearly reflectionจากพื้นและเพดาน ส่วนในแนวระนาบซ้ายขวาจะมีการกระจายของเสียงที่กว้างกว่าเพื่อให้เสียงครอบคลุมที่นั่งให้มากที่สุด

เมื่อมาดูplotความเข้มของเสียงตั้งแต่1,000-20,000Hz จะสังเกตเห็นได้ว่าในแนวระนาบจะมีการกระจายของเสียงที่กว้างทำให้ความแตกต่างของเสียงในแต่ละที่นั่งลดลง(seat to seat variation) ส่วนในแนวดิ่งจะเห็นว่าความถี่ที่ใกล้ๆ1,000Hz ต่ำลงมาการกระจายของเสียงจะเริ่มถูกควบคุมให้มีการfocusของเสียงมากขึ้นเพื่อลดการเกิดearly reflectionของพื้นและเพดานลงเนื่องจากความถี่นี้เป็นความถี่สำคัญที่มีอิทธิพลต่อเสียงพูดมาก นอกจากนี้ตำแหน่งบริเวณเพดานหรือตำแหน่งพื้นห้อง ปกติก็ไม่ค่อยได้ใส่อุปกรณ์acoustic treatmentเหมือนกับบริเวณผนังห้องหรือบางทีถ้าใส่ก็จะมีข้อจำกัดในการติดตั้งดังนั้นการโฟกัสความถี่บริเวณนี้จึงส่งผลต่อการลดความเพี้ยนของสัญญาณเสียงได้ และอีกอย่างถ้าห้องใครมีที่นั่งฟังทำเป็นstepหลายๆชั้น ก็จำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องdispersionของเสียงในแนวดิ่งด้วย โดยพยายามทำให้ที่นั่งทั้งหมดอยู่ในองศาการรับเสียงตามplotที่แสดงไว้จะดีที่สุด

Subwooferจะใช้คอมพิวเตอร์ในการคำนวณและออกแบบทุกส่วน โดยให้ความสำคัญว่าพลังงานที่ออกมาต้องสูง มีdistortionที่น้อย ให้รายละเอียดครบถ้วนไม่ว่าจะความถี่ต่ำระดับbass guitarจนไปถึงความถี่12Hz ของเสียงกระทืบเท้าT-Rexในภาพยนตร์ มีการใช้power ampsตัวใหญ่ขนาดหลายพันวัตต์ ใช้คอมพิวเตอร์ระดับ 32-bitในการควบคุมกระแสไฟ ควบคุมการทำงานทุกส่วน รวมไปถึงควบคุมอุณหูภูมิของเครื่องแบบreal-time ทั้งยังสามารถใช้Perlisten Appในsmart deviceตั้งค่าทุกอย่างของเครื่องไม่ว่าจะเป็น Parametric EQ, Time Delay, Phase, lowpass crossover, polarity etc.ของลำโพงได้อย่างง่ายดาย

สำหรับลำโพงที่ผมได้รับมาเพื่อทดสอบลำโพงMainซ้ายขวาเป็นรุ่นS5m ลำโพงcenterรุ่นR5c ลำโพงSurroundรุ่นS4s Subwooferรุ่นD15s พร้อมทั้งขาตั้งลำโพงรุ่น SSLR-HGB ขาแขวนลำโพงSurround R/S BRCKT คราวนี้มาลองดูรายละเอียดลำโพงแต่ละตัวครับว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง

S5mเป็นลำโพงแบบmonitorที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกับรุ่นเรือธงS7T เป็นลำโพงสามทาง สามารถเลือกทำเป็นbass reflexหรือacoustic suspensionได้ โดยการใช้โฟมที่ให้มาปิดส่วนport ถ้าเป็นbass reflexก็จะตอบสนองความถี่ได้ต่ำกว่าเล็กน้อย ยังไงก็แล้วแต่ความชอบกับสภาพห้องด้วยว่าเหมาะจะใช้เป็นแบบไหน การควบคุมความถี่กลาง แหลมใช้เทคนิคDPC(Directivity Pattern Control)ดังที่ได้พูดไป สำหรับดอกลำโพงwooferมีขนาด18เซ็นติเมตร2ดอก Sensitivityของลำโพงเป็น89.6dB, Impedance 4ohms, ตอบสนองความถี่ 35Hz-37,000Hz แต่ถ้าอยู่ในห้องสามารถตอบสนองความถี่ต่ำลงไปถึง 29Hz ทำความดังได้สูงสุด117dB ที่ระยะ1m ตัวตู้มีขนาด 60x24x40เซนติเมตร น้ำหนัก 19กิโลกรัม ราคาค่าตัวอยู่ที่218,900บาทต่อตู้ ใช้คู่กับขาตั้งรุ่น SSLR-HGBราคาขาตั้งอยู่ที่ 61,900บาทต่อคู่

ลำโพงcenterจะเป็นReference series เป็นลำโพงสามทางแบบacoustic suspension ใช้เทคโนโลยี DPC-ArrayเหมือนS seriesแต่ใช้เป็น Silk dome ขนาด 26มิลลิเมตรจำนวนสามตัวแทน Woofersเป็นวัสดุผสมHPF(Hybrid Pulp Formulation)ขนาด16.5เซ็นติเมตรสองตัว Sensitivity 88.6dB, Impedance 4Ohms, ตอบสนองความถี่49Hz-32,000Hz ทำความดังSPLที่ระยะ1เมตรได้ 112.6dB ตัวตู้มีขนาด 24x55x27เซนติเมตร น้ำหนัก 15กิโลกรัม ราคา 103,900บาท

ลำโพงS4s สามารถใช้ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นลำโพงsurround ลำโพงatmos หรือใช้เป็นลำโพงLCRก็ยังได้ เป็นลำโพงสามทางแบบacoustic suspension เป็นลำโพงในS seriesเทคโนโลยีถ่ายทอดจากรุ่นใหญ่มาเต็มที่ ทั้งDPC-Array ดอกลำโพงเสียงแหลมแบบBeryllium domeขนาด 28มิลลิเมตร ลำโพงmidrangeและWoofersใช้Textreme TPCD ขนาด 28มิลลิเมตรและ180มิลลิเมตรตามลำดับ Sensitivityของลำโพงเป็น88.8dB, Impedance 4Ohms, ตอบสนองความถี่ 39-37,000Hz, ทำSPLได้113.6dBที่1เมตร ขนาด 40.5x24x18.5เซนติเมตร น้ำหนัก 9.5กิโลกรัม ราคา131,900บาทต่อตู้ แนะนำให้ใช้กับขาแขวนของPerlisten รุ่น R/S BRCKTที่สามารถปรับค่าองศาการเอียงของลำโพงได้ ราคาขาแขวนอยู่ที่ 3,900บาทต่อตัว

D15sเป็นลำโพงsubwooferแบบacoustic suspension ใช้เทคโนโลยีของตัวflagshipเพียงแต่ย่อขนาดลงมา นับว่าเป็นsubwooferตัวเล็กที่สุดที่ได้รับการรับรองระดับTHX Dominus เป็นลำโพงactiveที่มีamplifierขนาด 2,000W RMS, sensitivity 92dB, สามารถเลือกการตอบสนองความถี่ให้เหมาะสมกับห้องได้3แบบคือ THX EQ, Boost EQสำหรับห้องขนาดใหญ่ และ Cut EQสำหรับห้องขนาดเล็ก โดยตอบสนองความถี่ได้ต่ำสุด 14-395Hz(-10dB) มีInputทั้งแบบBalanced XLRและ Unbalanced RCA มีDSPในตัวที่ปรับparametric EQได้10-Bandและทำเป็นpresetsเก็บไว้ได้ 3presets, Low Pass filterสามารถปรับslopeได้ 6,12,18,24dB/oct มีขนาด 52.8x50x50เซนติเมตร น้ำหนัก 46กิโลกรัม ราคา 173,900ต่อตู้

ถึงตรงนี้ขอพูดถึงเรื่องTHX Certified Dominusหน่อย เผื่อบางคนยังไม่รู้จัก สำหรับTHX Certified Dominusเป็นมาตรฐานที่สถาบันTHXตั้งขึ้นเพื่อให้ผู้ชมได้ฟังเสียงจากห้องhome theaterได้ใกล้เคียงจากเสียงในโรงภาพยนตร์มากที่สุด โดยDominusเป็นมาตรฐานสูงสุดรองลงไปจะเป็นTHX Ultra, THX SelectและTHX Compactตามลำดับ THX Dominusสามารถใช้ในห้องที่มีขนาดใหญ่ระดับ184ลูกบาศต์เมตร มีตำแหน่งฟังสองถึงสามแถว ระยะทางจากคนดูถึงจอภาพห่างประมาณ6เมตร ตัวTHX Dominusจะสามารถทำให้ระบบมีความดังมากกว่าTHX Ultraอยู่6dBทำให้มีdynamic rangeของเสียงเพิ่มขึ้น เล่นได้ดังโดยไม่สูญเสียclarityของเสียงมีความเพี้ยนต่ำแม้ห้องhome theaterจะมีขนาดใหญ่ขึ้นก็ตาม

แกะกล่องอุปกรณ์ต่างๆออกมา ทำให้รู้สึกได้เลยว่าลำโพงยี่ห้อนี้มีความใส่ใจและเข้าใจนักเล่นเครื่องเสียงบ้านเป็นอย่างดี อุปกรณ์แต่ละอย่างทำออกมาดูสวยงาม ประณีตเหมือนเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง รู้จุดเล็กจุดน้อยว่านักเล่นต้องการอะไรต้องระวังอะไร อุปกรณ์ทำออกมาครบไม่ต้องไปหาซื้อเพิ่มเติม ถ้าต้องการปรับปรุงupgrade accesoriesต่างๆก็สามารถทำได้อย่างง่ายดายในอนาคต

ทำการติดตั้งและเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆเข้าที่ก่อนดำเนินการcalibrate สำหรับPower Amplifierที่ใช้ขับลำโพงPerlistenทั้งห้าตัวใช้ Audionetรุ่น AMP VII กำลังขับต่อแชลแนล 150Wที่8ohms ดูจากตัวเลขเหมือนกำลังไม่เยอะ แต่พอใช้งานจริงผมว่ากำลังสำรองนี่เหลือๆเลย ส่องเข้าไปในตัวเครื่องเห็นใช้หม้อแปลงtoroid แยกแต่ละแชลแนล7ตัว ซึ่งพบน้อยสำหรับampในปัจจุบัน ส่วนมากก็จะเห็นใช้แค่ตัวเดียว ก็ว่าอยู่ตอนยกหนักมาก น้ำหนักampตัวนี้หนักกว่า 58กิโลกรัม สำหรับตำแหน่งลำโพง การconfigurationลำโพงระบบ5.1 ก็ทำตามมาตรฐานของTHX

เมื่ออุปกรณ์ทุกอย่างพร้อม เช็คเสียงแล้วทำงานตามปกติ จึงเริ่มทำการcalibrateโดยใช้วิธีTurbocalตามguidelineของHAA ส่วนSubwooferก็จะถูกวางไว้บนดอลลี่เพื่อหาตำแหน่งที่เหมาะสมในห้องนี้ต่อไป

เมื่อลองปรับsubwooferของPerlistenแล้วผมรู้สึกชอบเลย การปรับค่าต่างๆทำได้สะดวกมาก ตัวsubwooferมีdspที่สามารถให้ผู้ใช้ปรับเองได้ละเอียดดี สามารถปรับบนตัวตู้ก็ได้ แต่ถ้าง่ายผมแนะนำปรับบนPerlisten appในโทรศัพท์จะสะดวกกว่า เชื่อมต่อbluetoothแบบรวดเร็ว ปรับได้ตั้งแต่Volume, Parametric equalizer, EQ Modeแบบต่าง และค่าparameterที่จำเป็นสำหรับการปรับsubwooferมาครบ เท่าที่ลองปรับแล้ววัดค่า พบว่าค่าก็จะเปลี่ยนไปตามที่ปรับอย่างแม่นยำ

Kick subหาตำแหน่งที่เหมาะสมในห้องสำหรับการใช้subwooferตัวเดียว ผลออกมาได้ตำแหน่งมุมด้านขวาของห้อง อย่างกราฟFFT 1/24per octave จะเห็นว่าเมื่อsubwooferอยู่ที่ข้างลำโพงcenterฝั่งซ้ายมือก็จะเกิดdipขนาดใหญ่ตั้งแต่ช่วง 20-50Hzดังกราฟเส้นสีฟ้าซึ่งไม่เหมาะแน่ถ้าช่วงความถี่หายไปขนาดนี้ แต่เมื่อย้ายsubwooferไปตำแหน่งมุมด้านขวาdipตรงนี้ก็จะดีขึ้น ส่วนของpeakก็ไม่สูงเท่าเดิม เมื่อเทียบกับตำแหน่งอื่นอีกหลายตำแหน่งก็จะพบลักษณะคล้ายๆกัน คือเจอdipลึกและpeakที่สูงหลายตำแหน่ง สรุปตำแหน่งมุมขวาบนจึงดีที่สุด

เมื่อปล่อยสัญญาณpink noiseเปรียบเทียบทั้งจากsubwooferตัวเดียว ลำโพงmainตัวเดียว และเปิดพร้อมกัน ก็จะเห็นได้ว่ากราฟการตอบสนองของเสียงทำได้เรียบมาก สมแล้วที่เป็นTHX Certified speaker ส่วนตรงบริเวณcrossover pointที่ 80Hzก็จะเห็นว่ามีการin phaseกันของลำโพงsubwooferและลำโพงmainเนื่องจากampitudeของเสียงมีเพิ่มมากขึ้นบริเวณนี้ นอกจากนี้เราก็ยังสามารถconfirmได้อีกโดยการเปลี่ยนpolarityของsubwooferแล้วดูค่าFFT ถ้าบริเวณcrossover pointมีamplitudeของlevelลดลง อันนี้ชัดเลยว่าปรับค่าcrossoverของลำโพงผิด

เมื่อทำการsetupและcalibrateต่างๆเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาฟังเสียงจริงกันบ้างสำหรับลำโพงPerlisten โดยแผ่นแรกที่ใช้ทดสอบก็เป็นแผ่นSpatial Audio Calibration Toolkit เพื่อmake sureอีกทีว่าเสียงที่ปรับมามีความถูกต้องเหมาะสมตามที่ควรจะเป็นหรือไม่ อย่างแรกที่สัมผัสได้ก็คือเสียงของลำโพงสามารถอัดได้เต็มที่ แม้จะเปิดในระดับความดังที่สูงกว่าปกติก็ยังรักษาระดับเสียงได้ดี ไม่มีอาการป้อแป้เสียงแกว่ง หรือเสียงมีความเพี้ยนแต่อย่างไร Subwooferถึงแม้ใช้ตัวเดียวแต่เมื่อเอาไปวางไว้มุมห้องเพื่อเพิ่มระดับSPLก็ให้เสียงมาเต็มที่ เอาห้องผมที่มีขนาดกว่า 60ลูกบาศก์เมตรในระดับเสียงมากกว่า115dBได้อย่างไม่มีปัญหา

มาดูเรื่องทิศทางของเสียงจากเมนูObject panning และTorture Testในแผ่น หลังจากฟังทั้งการเคลื่อนของเสียงแบบpink noise หรือเสียงพูด ต้องบอกว่าการควบคุมทิศทางของเสียงหรือที่ทางPerlistenเรียกว่าDPCทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม สมกับที่ได้ยื่นจดสิทธิบัตรไว้

ตำแหน่งเสียงมีความแม่นยำสูง เสียงหลุดตู้แบบถ้าหลับตาฟังหรือมีอะไรปิดตำแหน่งลำโพงไว้นี่เดายากเลยว่าลำโพงตั้งอยู่ตรงไหน การโยนเสียงระหว่างแชลแนลทำได้อย่างต่อเนื่องแนบเนียนไร้รอยต่อ แม้ลำโพงแต่ละตัววางไว้ห่างกันเสียงphantom imageก็ยังมีความไหลลื่นไม่สะดุด ผมว่าจุดนี้เป็นจุดเด่นมากอีกจุดหนึ่งของลำโพงPerlistenเลย

หลังจากได้ยินชื่อของลำโพงPerlistenว่าเป็นลำโพงที่ได้THX Dominus สิ่งแรกที่ผมจินตนาการคือเสียงน่าจะพุ่งๆ สดๆ เสียงแหลมแข็งๆหน่อยเพราะออกแบบให้ใช้ในห้องขนาดใหญ่เพื่อดูภาพยนตร์ แต่ปรากฏว่าพอได้ฟังเสียงจริงแล้วต้องเปลี่ยนความคิด เสียงที่ออกมาคือเสียงของเครื่องเสียงระดับHi End เสียงแหลมไม่บาดหู ไม่แข็งกร้าวอย่างที่คิด ความถี่ต่ำลงได้ลึก มีความใหญ่ของเสียง และที่สำคัญสามารถเปิดได้ดังโดยไม่สูญเสียคุณลักษณะของเสียง อย่างเอามาเปิดกับเพลงแผ่นSusan Wong, My LIVE stories ในระบบเสียงDTS-HD Master Audio5.1 เสียงที่ออกมามีความไพเราะน่าฟัง เบสมีความพอดี เสียงมีDynamicที่กว้าง เสียงกลางเสียงแหลมมีความละเมียดละไม ให้ความลึกแบบมีมิติของเสียง ตำแหน่งของเครื่องดนตรีเด่นชัด อย่างเพลงBillie Jeanนี่เสียงคอรัสระบุได้เลยว่าตำแหน่งเสียงอยู่ตรงไหนร้องท่อนไหนเสียงเป็นอย่างไรบ้าง และถ้าsetupดีๆก็จะรับรู้ว่าเสียงออกมาจากกลางจอได้เลยแม้จะวางลำโพงcenterอยู่ใต้จอก็ตาม

ฉากแรกของJohn Wick: Chapter4 ต้องบอกว่าใครใจไม่แข็งให้หนีไป…. เสียงกำปั้นที่ต่อยไปบนเสาแต่ละทีนั้นมันสุดมาก มาทั้งความดัง ความลึก ความใหญ่ของเสียงเบส ห้องผมที่ว่าsizeกลางค่อนไปใหญ่ใช้Subwooferตัวเดียวยังสั่นไปทั้งห้อง

เสียงปืนแสดงให้เห็นถึงDynamicของเสียงที่กว้าง สามารถแยกความแตกต่างของปืนได้อย่างไม่ต้องตั้งใจฟัง รู้เลยว่าเสียงจากปืนกระบอกนี้อยู่แถวไหนเคลื่อนไปไหนบ้าง ทิศทางของเสียงมีความต่อเนื่องความลื่นไหล อย่างในบางฉากแม้เสียงจะอ้อมไปอยู่ด้านหลังก็ยังให้รายละเอียด ให้ตำแหน่งของเสียงที่ชัดเจนแม่นยำอยู่

ฉากไดโนเสาร์วิ่งหนีเป็นฝูงจากหนังเรื่องJarassic World Dominion (2022) ยิ่งตอกย้ำความมีพลังของเสียงเบสจากลำโพงชุดนี้ได้ดีมาก พลังของลำโพงที่เหลือๆ เขย่าห้องได้อย่างน่าตื่นเต้น หรืออย่างฉากที่ไดโนเสาร์วิ่งไล่รถไปในตัวเมือง การโยนเสียงในแต่ละแชลแนลทำได้อย่างsmooth มีความต่อเนื่อง ลำโพงทุกตัวทำงานประสานกันอย่างลงตัว ดูแล้วทำให้มีความสนุกสนานตื่นเต้นไปกับภาพบนจอเป็นอย่างดี

ภาพยนตร์เรื่องAll Quiet on the Western Front (2022) ในฉากที่ไม่ใช่ในสมรภูมิสงคราม ลำโพงสามารถสร้างเสียงบรรยากาศให้ตัวเราเหมือนเข้าไปอยู่ในสถานที่นั้น ได้ยินหมดไม่ว่าเสียงแมลงตัวเล็กตัวน้อยบินไปมารอบๆ ทิศทางของเสียงลมพัด เสียงนกบินอยู่ในระดับสูง จำลองให้ความรู้สึกเหมือนไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริง เสียงสกอร์เพลงเสียงพูดให้ความเคลียร์ สะอาด ชัดเจน น้ำหนักเสียงดีแบบมีdirectionของเสียง และเมื่อถึงฉากสู้รบ ไม่ต้องพูดถึง เสียงระเบิดที่ดุดันสามารถบอกตำแหน่งได้อย่างชัดเจนว่าระเบิดตกลงที่ตำแหน่งไหน เสียงปืนมีความแน่นมีทิศทางที่ชัดเจน ให้ความสมจริงของเสียงเศษวัตถุที่กระจายตกไปมาล้อมรอบตัว ยิ่งตอนฉากที่หลบอยู่ในบังเกอร์แล้วมีเสียงระเบิดตกอยู่ด้านบน แสดงให้เห็นถึงความโอบล้อมของเสียงแบบสามมิติ เสียงออกมาอยู่บนศรีษะเหมือนมีลำโพงอยู่ด้านบนจริงๆถึงแม้จะเป็นการดูแค่ระบบ 5.1 ดูไปดูมาว่าจะดูทดสอบแค่ไม่กี่ฉากเผลอแป๊ปเดียวลุ้นไปกับหนังอย่างมันจนหนังจบเลยครับ

โดยสรุปแล้วผมว่าลำโพงPerlistenเป็นลำโพงที่ให้ความโดดเด่นในเรื่องพลังของเสียง ให้เสียงที่มีรายละเอียด เนื้อเสียงมีความเป็นHi-End มิติความลึกของเสียงทำได้ดี การควบคุมทิศทางและตำแหน่งของเสียงทำได้อย่างยอดเยี่ยมเสียงหลุดตู้และการโยนเสียงมีความไหลลื่น สามารถใช้ได้ดีทั้งดูหนังและฟังเพลงโดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นห้องฟังขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ การออกแบบ วัสดุที่ใช้ ความละเอียดของชิ้นงาน ทำได้อย่างสวยงาม ผมว่าถ้าใครมีห้องขนาดใหญ่มีงบประมาณถึง ลำโพงPerlistenถือว่าเป็นตัวเลือกสำหรับห้องดูหนังฟังเพลงในระดับต้นๆได้เลยครับ ต้องขอขอบคุณทางบริษัท Theater Houseที่ส่งลำโพงPerlistenมาให้ผมทดสอบถึงที่บ้านในครั้งนี้ด้วยนะครับ

Facebook
Twitter
Email
ดาวน์โหลดบทความ Become a Perlistener (PDF)
Picture of ทพ. พงศ์ทิพจักร์ เชื้อเจ็ดองค์

ทพ. พงศ์ทิพจักร์ เชื้อเจ็ดองค์

หมอเอก หมอฟันผู้มีความหลงไหลชื่นชอบในเรื่องHometheater/Homecinema ด้วยความสนใจใคร่รู้ว่าเสียงและภาพในห้อง Hometheater จริง ๆ แล้วควรจะเป็นอย่างไร เลยลงทุนไปเรียนหลายสถาบันทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น THX, HAA, ISF, CEDIA, PVA, Meyer Sound Training, Smaart Training นอกจากนี้ก็เคยเข้าไปสัมผัสห้องสตูดิโอ และโรงภาพยนตร์ระดับมาตรฐานของโลกหลายแห่งไม่ว่าจะเป็น Stag theater, Kurasawa Dubbing Stage, Skywalker Sound Studio ของ Lucasfilm/ Pearson Theater,Bear’s Labของ Meyer Sound/ Dolby Cinema™ โดยความรู้และประสบการณ์ที่ได้มานั้นก็ได้นำมาเขียนเป็นบทความลงนิตยสาร และทำสื่อมัลติมีเดียออนไลน์เป็นเวลาหลายปี ตอนนี้ก็ได้นำบทความสื่อต่าง ๆ รวมถึงบทความใหม่ ๆ คลิปวิดีโอใหม่ ๆ ที่จะมีขึ้นในอนาคตมารวบรวมกันไว้ที่ website นี้ เพื่อให้ใครที่สนใจในเรื่องของ Hometheater เอาไว้เสริมความรู้ และเผื่อสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ที่อาจจะพบเจอในการเล่นเครื่องเสียงของแต่ละท่านได้